วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เครือข่ายภาคประชาชน และองค์กรสาธารณะประโยชน์แถลงการเพื่อยกเลิกประกาศวัตถุอันตราย(ฉบับที่ 6) พ.ศ.2552

เครือข่ายภาคประชาชน และองค์กรสาธารณะประโยชน์ 12 องค์กร ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ยกเลิกคำประกาศให้พืชสมุนไพรซึ่งใช้ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืชรวม 13 ชนิด ได้แก่ สะเดา ตะไคร้หอม ขมิ้นชัน ขิง ข่า ดาวเรือง สาบเสือ กากเมล็ดชา พริก คื่นฉ่าย ชุมเห็ดเทศ ดองดึง และหนอนตายหยาก เป็นวัตถุอันตรายประเภทที่ 1 นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้นายกรัฐมตรี ตรวจสอบการบริหารงานของรัฐมตรีที่เกี่ยวข้อง และข้าราชการที่ผลักดันเรื่องดังกล่าว ว่าได้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจในขณะนี้ หรือไม่

คำแถลงระบุว่า มีการร่างประกาศให้ผู้ใดก็ตามที่ผลิต นำเข้า หรือส่งออกเพื่อขายพืชสมุนไพรดังกล่าวต้องแจ้งล่วงหน้าต่อเจ้าพนักงานตามแบบฟอร์มที่กรมวิชาเกษตรเป็นผู้กำหนด ซึ่งการออกกฎระเบียบดังกล่าวมุ่งเน้นไปที่การควบคุมเกษตรกร ชุมชน หรือผู้ประกอบการรายย่อย เนื่องจากประกาศควบคุมเฉพาะ “ผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืชซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี” และ “เฉพาะที่นำไปใช้ในการป้องกันกำจัด ทำลาย ควบคุมแมลง วัชพืช โรคพืช ศัตรูพืช หรือควบคุมการเจริญเติบโตของพืช” ทั้งนี้หากไม่ดำเนินการจะมีความผิดตามกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

“พืชสมุนไพรทั้ง 13 ชนิดเป็นพืชที่เกษตรกรได้นำมาใช้ประโยชน์เพื่อเป็นสารควบคุมแมลงเพื่อทดแทนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชมานาน เนื่องจากไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเลย จนถึงมีผลน้อยมาก ไม่ก่อให้เกิดผลตกค้างที่เป็นอันตรายต่อทั้งเกษตรกรเองและผู้บริโภค สามารถหาได้เองจากในชุมชนหรือจากเพื่อนบ้านใกล้เคียง หรือซื้อได้ในราคาไม่แพงจากชาวบ้าน หรือผู้ประกอบการในท้องถิ่นซึ่งในระยะหลังมีการรวมกลุ่มกันทำการผลิตเพื่อขายกันอย่างแพร่หลาย”

“การดำเนินการของกรมวิชาการเกษตรจะสร้างผลกระทบอย่างสำคัญต่อเกษตรกรและคนในท้องถิ่นรวมจนถึงผู้ประกอบการรายย่อยที่เริ่มดำเนินการเพื่อพัฒนาสมุนไพรควบคุมศัตรูพืช เป็นการสร้างภาระ และอุปสรรคในการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากสมุนไพรทั้งในด้านการเกษตร การสาธารณสุขและอื่นๆ เป็นการสร้างเงื่อนไขให้กับเจ้าหน้าที่ส่วนน้อยที่ไม่สุจริตเรียกร้องผลประโยชน์จากเกษตรกรและผู้ประกอบการ และสร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ที่ไม่สามารถหาสมุนไพรมาผลิตเองใช้เองต้องหันไปซื้อสารเคมีซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศแทน”

“แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอ้างว่า การประกาศดังกล่าวเป็นไปเพื่อคุ้มครองผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และคุ้มครองเกษตรกร แต่การดำเนินดังกล่าวซึ่งรวบรัดดำเนินการ และไม่ได้ฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากองค์กรสาธารณะประโยชน์ที่ทำงานด้านเกษตรกรรมยั่งยืน สิ่งแวดล้อม คุ้มครองผู้บริโภค และจัดการปัญหาวัตถุอันตรายในท้องถิ่น รวมทั้งเกษตรกรและองค์กรท้องถิ่นเป็นจำนวนมากที่เกี่ยวข้องและได้รับผลกระทบโดยตรงนั้น นอกจากเป็นการดำเนินการที่ปราศจากธรรมาภิบาลแล้ว ยังตั้งคำถามว่า คำประกาศดังกล่าวนั้นมีเจตนาเอื้ออำนวยประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการเคมีเกษตร และบรรษัทข้ามชาติหรือไม่ ?” คำแถลงระบุ

คำแถลงของเครือข่ายภาคประชาชน และองค์กรสาธารณะประโยชน์
เรียกร้องให้ยกเลิกคำประกาศให้พืชอาหารและสมุนไพร 13 ชนิดเป็นวัตถุอันตราย

1. สาระสำคัญของเรื่อง
1.1 เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2552 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 วรรคสอง และมาตรา 18 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.2535 โดยดำเนินการตามข้อเสนอของกรมวิชาการเกษตร และความเห็นชอบของคณะกรรมการวัตถุอันตราย ได้ประกาศ [1] ให้พืชสมุนไพรซึ่งใช้ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืชรวม 13 ชนิด ได้แก่ สะเดา ตะไคร้หอม ขมิ้นชัน ขิง ข่า ดาวเรือง สาบเสือ กากเมล็ดชา พริก คื่นฉ่าย ชุมเห็ดเทศ ดองดึง และหนอนตายหยาก เป็นวัตถุอันตรายประเภทที่ 1

1.2 ขณะนี้กรมวิชาการเกษตร ได้ร่างประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ [2] โดยให้ผู้ใดก็ตามที่ผลิต นำเข้า หรือส่งออกเพื่อขายพืชสมุนไพรดังกล่าวต้องแจ้งล่วงหน้าต่อเจ้าพนักงานตามแบบฟอร์มที่กรมวิชาเกษตรเป็นผู้กำหนด [3] การออกกฎระเบียบดังกล่าวมุ่งเน้นไปที่การควบคุมเกษตรกร ชุมชน หรือผู้ประกอบการรายย่อยโดยแท้ เนื่องจากประกาศควบคุมเฉพาะ “ผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืชซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี” และ “เฉพาะที่นำไปใช้ในการป้องกันกำจัด ทำลาย ควบคุมแมลง วัชพืช โรคพืช ศัตรูพืช หรือควบคุมการเจริญเติบโตของพืช” ทั้งนี้หากไม่ดำเนินการจะมีความผิดตามกฎหมาย

1.3 ตามความในมาตรา 18 วัตถุอันตรายชนิดที่ 1 นั้น ผู้ใดที่ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองต้องปฎิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนด ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษตามความในมาตรา 71 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

2. ผลกระทบ
2.1 พืชสมุนไพรทั้ง 13 ชนิดเป็นพืชที่เกษตรกรได้นำมาใช้ประโยชน์เพื่อเป็นสารควบคุมแมลงเพื่อทดแทนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชมานาน เนื่องจากไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเลย จนถึงมีผลน้อยมาก ไม่ก่อให้เกิดผลตกค้างที่เป็นอันตรายต่อทั้งเกษตรกรเองและผู้บริโภค สามารถหาได้เองจากในชุมชนหรือจากเพื่อนบ้านใกล้เคียง หรือซื้อได้ในราคาไม่แพงจากชาวบ้าน หรือผู้ประกอบการในท้องถิ่นซึ่งในระยะหลังมีการรวมกลุ่มกันทำการผลิตเพื่อขายกันอย่างแพร่หลาย เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจของท้องถิ่นบนฐานความหลากหลายทางชีวภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพาสารเคมีซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศ คาดว่ามีจำนวนผู้ใช้สมุนไพรดังกล่าวในการควบคุมแมลงหลายแสนครอบครัว และทดแทนการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชหลายร้อยล้านบาทจนถึงพันล้านบาท [4] ทั้งนี้ไม่นับไปถึงคุณค่าในการเกื้อกูลต่อสุขภาวะต่อเกษตรกร ผู้บริโภค และสังคมไทยโดยรวม

2.2 การดำเนินการของกรมวิชาการเกษตรจะสร้างผลกระทบอย่างสำคัญต่อเกษตรกรและคนในท้องถิ่นรวมจนถึงผู้ประกอบการรายย่อยที่เริ่มดำเนินการเพื่อพัฒนาสมุนไพรควบคุมศัตรูพืช เป็นการสร้างภาระ และอุปสรรคในการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากสมุนไพรทั้งในด้านการเกษตร การสาธารณสุขและอื่นๆ เป็นการสร้างเงื่อนไขให้กับเจ้าหน้าที่ส่วนน้อยที่ไม่สุจริตเรียกร้องผลประโยชน์จากเกษตรกรและผู้ประกอบการ และสร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ที่ไม่สามารถหาสมุนไพรมาผลิตเองใช้เองต้องหันไปซื้อสารเคมีซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศแทน

ในยุคของวิกฤติเศรษฐกิจซึ่งขณะนี้ยังไม่มีนโยบายใดๆ ของรัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรมในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกร การดำเนินการของกรมวิชาการเกษตรยังเป็นการสร้างปัญหาให้เพิ่มขึ้นอีก ทั้งๆ ที่เกษตรกรเผชิญปัญหาด้านต่างๆ มากเกินพออยู่แล้ว

3. ข้อสังเกตบางประการ
แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอ้างว่า การประกาศดังกล่าวเป็นไปเพื่อคุ้มครองผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และคุ้มครองเกษตรกร แต่การดำเนินดังกล่าวซึ่งรวบรัดดำเนินการ และไม่ได้ฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากองค์กรสาธารณะประโยชน์ที่ทำงานด้านเกษตรกรรมยั่งยืน สิ่งแวดล้อม คุ้มครองผู้บริโภค และจัดการปัญหาวัตถุอันตรายในท้องถิ่น [5] รวมทั้งเกษตรกรและองค์กรท้องถิ่นเป็นจำนวนมากที่เกี่ยวข้องและได้รับผลกระทบโดยตรงนั้น นอกจากเป็นการดำเนินการที่ปราศจากธรรมาภิบาลแล้ว ยังตั้งคำถามว่า คำประกาศดังกล่าวนั้นมีเจตนาเอื้ออำนวยประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการเคมีเกษตร และบรรษัทข้ามชาติหรือไม่ ?

4. ข้อเสนอ
เครือข่ายของภาคประชาชน ตามท้ายคำแถลงนี้ ขอเรียกร้องต่อผู้เกี่ยวข้องให้ดำเนินการดังต่อไปนี้
4.1 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการให้มีการยกเลิกคำประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย(ฉบับที่ 6) พ.ศ.2552 และยกเลิกการดำเนินการของกรมวิชาการเกษตร เรื่อง การแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ที่กรมวิชาการเกษตรเป็นผู้รับผิดชอบ พ.ศ....” โดยให้ยกเลิกภายใน 30 วัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น