วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

สูตรสมุนไพรกำจัดโรคและแมลง

ผลิตพืชอินทรีย์ / สมุนไพรกำจัดโรคและแมลง
หลักการผลิตพืชอินทรีย์
• ไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ในกระบวนการผลิต
• มีการพัฒนาระบบการผลิตไปสู่แนวทางเกษตรผสมผสานที่มีความหลากหลายของพืชและสัตว์
• มีการพัฒนาระบบการผลิตที่พึ่งพาตนเองในเรื่องของอินทรีย์วัตถุและธาตุอาหารภายในฟาร์ม
• มีการฟื้นฟูและรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินด้วยอินทรียวัตถุ เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักและปุ๋ยพืชสดอย่างต่อเนื่อง
• โดยใช้ทรัพยากรในฟาร์ม หมุนเวียนให้เกิดประโยชน์สูงสุด
• ส่งเสริมให้มีการแพร่ขยายชนิดของสัตว์และแมลงที่มีประโยชน์ (ตัวห้ำ ตัวเบียน) เช่น การปลูกพืชให้เป็นที่อยู่ของสัตว์ และแมลงที่เป็นประโยชน์ เพื่อรักษาความสมดุลของระบบนิเวศในฟาร์ม และลดปัญหาการระบาดศัตรูพืช
• เลือกใช้พันธุ์พืชที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นและมีความต้านทานต่อโรคและแมลง
เจ้าของไร่นา หรือผู้ทำการผลิต มีความพยายามอย่างเต็มที่ในการป้องกันและหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนของสารเคมี และมลพิษจากภายนอก
• สนับสนุนการเลี้ยงสัตว์ที่คำนึงถึงหลักมนุษยธรรม ควรได้รับการเลี้ยงดูอย่างเหมาะสมตามพฤติกรรมธรรมชาติ ไม่ควรเลี้ยงในที่คับแคบแออัด
• การแปรรูปผลิตผลเกษตรอินทรีย์ ควรเลือกวิธีการแปรรูปที่คงคุณค่าทางโภชนาการให้มากที่สุด โดยไม่ต้องใช้สารปรุงแต่งหรือใช้น้อยที่สุด
• การผลิตและการจัดการผลิตผลเกษตรอินทรีย์ ควรคำนึงถึงวิธีที่ประหยัดพลังงานและควรพยายามเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด

สมุนไพรกำจัดโรค-แมลง
กระเทียม ดีปรี พริก มันแกว
ขมิ้นชัน ตะไคร้หอม พริกไทย ยี่โถ
ข่า น้อยหน่า ไพล ละหุ่ง
คูณ บอระเพ็ด มะรุม ลางสาด
ดาวเรือง ผกากรอง มะละกอ เลี่ยน

กระเทียม
เพลี้ยอ่อน
เพลี้ยไฟ
หนอนกระทู้ผัก
ด้วยปีกแข็ง
ราน้ำค้าง
ราสนิม
1. ใช้กระเทียม 1 กิโลกรัม โขลกให้เป็นชิ้นเล็กๆ แช่ในน้ำมันก๊าดหรือน้ำมันเบนซิน 200 ซีซี ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง หลังจากนั้นน้ำสบู่ ละลายน้ำเล็กน้อยเติมลงไป คนให้เข้ากัน แล้วกรองเอาแต่น้ำใส ก่อนนำไปใช้เติมน้ำลงไปอีก 20 เท่า หรือประมาณ 5 ปี๊บ (100 ลิตร)
2. บดกระเทียม 3 หัวใหญ่ให้ละเอียด แช่ลงในน้ำมันก๊าดประมาณ 2 วัน แล้วกรองเอาสารละลายมาผสมกับน้ำสบู่ 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน ก่อนนำไปใช้ให้เติมน้ำลงไปอีก ครึ่งปี๊บ (10 ลิตร)
3. ใช้กระเทียม 1 กำมือ โขลกให้ละเอียด เติมน้ำร้อนครึ่งลิตร แช่ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง แล้วกรองเอาแต่น้ำ ผสมน้ำ 4 ลิตร เติมสบู่ครึ่งช้อนโต๊ะ ฉีดพ่นวันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 2 วัน ในตอนเช้า
4. บดกระเทียมแกะกลีบ 1 กำมือ ตากแดดให้แห้งเพื่อนำไปโขลกให้เป็นผง ใช้โรยบนพืชผักที่มีปัญหา โดยโรยตอนพืชผักไม่เปียก

ขมิ้นชัน
• หนอนกระทู้ผัก
• หนอนผีเสื้อ
• ด้วงงวงช้าง
• ด้วงเจาะเมล็ดถั่ว
• มอด
• ไรแดง

เหง้ามีน้ำมันหอมระเหย ขับไล่และกำจัดแมลงได้หลายชนิด
1. ขมิ้นครึ่งกิโลกรัม ตำให้ละเอียด ผสมกับน้ำ 1 ปี๊บ หมักทิ้งไว้ 1-2 วัน กรองเอาแต่น้ำไปฉีดพ่นกำจัดแมลง
2. ตำขมิ้นให้ละเอียด ผสมกับน้ำปัสสาวะวัว (ใช้ว่านน้ำตำละเอียดแทนได้) อัตราส่วน 1 ต่อ 2
3. กรองเอาแต่น้ำไปฉีดพ่นกำจัดแมลง ถ้าจะใช้กำจัดหนอนให้เติมน้ำผสมลงไปอีก 6 เท่า
4. บดขมิ้นให้เป็นผง ผสมเมล็ดถั่วในอัตรา ขมิ้น 1 กก. ต่อเมล็ดถั่ว 50 กก.
5. เพื่อช่วยในการเก็บรักษาเมล็ดถั่วป้องกันไม่ให้แมลงมาทำลายเม็ดถั่ว

ข่า
• แมลงวันทอง

น้ำคั้นจากเหง้า มีสารดึงดูด สารไล่แมลง สารฆ่าแมลง สามารถไล่แมลงวันทองไม่ให้วางไข่ได้ 99.21% และทำให้โรคใบจุดสีน้ำตาลในนาข้าวหายไป
1. นำเหง้าแก่สดหรือแห้ง มาบดเป็นผง ละลายน้ำ
2. กรองเอาแต่น้ำไปฉีดพ่นกำจัดแมลง

คูน
• หนอนกระทู้ผัก
• หนอนกระทู้หอม
• ด้วง

เนื้อฝักคูนจะมีสารประเภท Antraquinounes เช่น Aloin, Rhein Sennoside A, B และมี Organic acid
สาร Antra quinone มีฤทธิ์ต่อระบบประสาทของแมลง
1. นำฝักคูนมาบดให้ละเอียด แล้วผสมกับน้ำในอัตราส่วน 1 กก. ต่อน้ำ 20 ลิตร
2. หมักทิ้งไว้ 3 – 4 วัน นำมากรองเอาแต่น้ำ ฉีดพ่นกำจัดแมลง

ดาวเรือง
• เพลี้ยกระโดด
• เพลี้ยจักจั่น
• เพลี้ยหอย เพลี้ยอ่อน
• เพลี้ยไฟ
• แมลงหวี่ขาว
• แมลงวันผลไม้
• หนอนใยผัก
• หนอนผีเสื้อ
• หนอนกะหล่ำ
• ด้วยปีกแข็ง
• ไส้เดือนฝอย

1. นำดอกมาคั้นเอาน้ำผสมน้ำ 3 ต่อ 1 ส่วน สามารถกำจัดหนอนใยผักได้ดี
2. นำดอกมาคั้นเอาน้ำ ผสมน้ำ 1 ต่อ 1 ส่วน สามารถกำจัดเพลี้ยอ่อนได้ผลดี
3. นำดอกดาวเรือง 500 กรัม ต้มในน้ำ 4 ลิตร ทิ้งไว้ให้เย็น กรองเอาแต่น้ำ ไปผสมน้ำเปล่าอีก 4 ลิตร น้ำสบู่ 1 ช้อนโต๊ะ ฉีดพ่นวันละ 2 ครั้งติดต่อกัน 2 วัน

ดีปรี
• แมลงศัตรูข้าวในโรงเก็บ

1. นำดีปลีไปอบในอุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส จำนวน 450 กรัม
2. แล้วนำไปบดให้ละเอียด แช่ในแอลกอฮอล์ 1,500 ซีซี หมักทิ้งไว้ 1 คืน กรองเอาแต่น้ำไปฉีดพ่น

ตะไคร้หอม
• หนอนกระทู้ผัก
• หนอนไยผัก
• ไล่ยุง / แมลงสาป

มีสาร Verbena oil, Lemon oil, Indian molissa oil มีฤทธิ์ในการไล่แมลง
1. ** สูตรกำจัดหนอน ** นำตะไคร้หอมทั้งต้น มาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ บดหรือตำให้ละเอียด
2. ** สูตรสำหรับไล่แมลงและยุง ** นำตะไคร้หอมมาบดหรือตำให้ละเอียด นำไปวางไว้ตามมุม
ห้องหรือตู้เสื้อผ้า

น้อยหน้า
• ตั๊กแตน
• เพลี้ยอ่อน
• เพลี้ยจักจั่น
• เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล
• เพลี้ยหอย
• ด้วยเต่า
• หนอนใยผัก มวน

มีพิษต่อแมลงทางสัมผัสและทางกระเพาะอาหาร
1. นำเมล็ดน้อยหน่าแห้ง 1 กก. ตำให้ละเอียด ผสมน้ำ 10 ลิตร หมักไว้นาน 24 ชม.
2. ใช้ใบสด 2 กก. ตำให้ละเอียด ผสมน้ำ 10 ลิตร หมักนาน 24 ชม. นำมากรองเอาแต่น้ำ
3. แล้วนำมาผสมน้ำสบู่ 1 ช้อนโต๊ะ ฉีดพ่นทุก 6 - 10 วัน ช่วงเวลาเย็น

บอระเพ็ด
• เพลี้ยกระโดดน้ำตาล
• เพลี้ยจักจั่น
• หนอนกอ
• โรคข้าวตายพราย
• โรคยอดเหี่ยว
• โรคข้าวลีบ

ใช้ได้ดีกับนาข้าวรสขมเมื่อถูกดูดซึมเข้าไปในพืช จะทำให้แมลงไม่ชอบ


1. ใช้เถาหนัก 5 กก. สับเป็นชิ้นเล็ก ๆ ทุบให้แหลก แช่ในน้ำ 12 ลิตร นาน 1 - 2 ชม. กรองเอาแต่น้ำฉีดพ่นแปลงเพาะกล้า
2. ใช้เถา 1 กก. สับหว่านลงไปในแปลงเพาะกล้าขนาด 4 ตารางเมตร
3. ใช้เถาตัดเป็นท่อน ๆ ขนาด 6 - 10 นิ้ว ประมาณ 10 กก. หว่านในนาข้าวพื้นที่ 1 ไร่ หลังปักดำหรือหว่านข้าวแล้ว 7 วัน ควรทำอีกครั้งหลังข้าวอายุ 2 เดือน

ผกากรอง
• หนอนกระทู้ผัก

เมล็ดมีสาร Lantadene มีผลต่อระบบประสาทของแมลง
1. บดเมล็ด 1 กก. ผสมกับน้ำ 2 ลิตร แช่ทิ้งไว้ 24 ชม. กรองเอาแต่น้ำนำไปฉีดพ่นกำจัดแมลง
ไม่ให้มาวางไข่ในแปลงผัก
2. ใช้ดอกและใบบดละเอียด หนัก 50 กรัม ผสมน้ำ 400 ซีซี แช่ทิ้งไว้ 1 คืน กรองเอาแต่น้ำ
นำมาผสมน้ำ 1 : 5 ส่วน ใช้ฉีดพ่นกำจัดแมลง

พริก
• มด
• เพลี้ยอ่อน
• หนอนผีเสื้อกะหล่ำ
• ไวรัส
• ด้วงงวงช้าง
• แมลงในโรงเก็บ

ผลสุกมีคุณสมบัติในการฆ่าแมลง เมล็ดมีสารฆ่าเชื้อรา ใบและดอกมีสารยับยั้งการขยายตัวของไวรัส
1. นำพริกแห้งป่นละเอียด 100 กรัม ผสมน้ำ 1 ลิตร หมักทิ้งไว้ 1 คืน
2. กรองเอาแต่น้ำ นำมาผสมน้ำสบู่ 1 : 5 ส่วน ใช้ฉีดพ่นทุก 7 วัน
3. ควรทดลองแต่น้อย ๆ ก่อน และให้ใช้อย่างระมัดระวังเพราะอาจระคายเคืองต่อผิวหนังของ
ผู้ใช้
4. ใบและดอกของพริก นำมาคั้นผสมน้ำไปฉีดพ่น เพื่อป้องกันการระบาดของไวรัส โดยฉีดก่อนที่จะมีการระบาดของไวรัส

พริกไทย
• มด
• เพลี้ยอ่อน
• หนอนผีเสื้อกะหล่ำ
• ด้วยปีกแข็ง
• หนอนกะหล่ำปลี
• ด้วงในข้าวไวรัส

น้ำมันหอมระเหย และอัลกาลอยด์ มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท
1. ใช้เมล็ด 100 กรัม บดละเอียด ผสมน้ำ 1 ลิตร คนให้เข้ากัน
2. หมักทิ้งไว้ 24 ชม. กรองเอาแต่น้ำ นำมาผสมแชมพูซันไลต์ 1 หยด
3. ใช้ฉีดพ่นกำจัดแมลง ทุกๆ 7 วัน

ไพร
• เชื้อรา

ใช้ยับยั้งการเติบโตของเชื้อราในข้าวบาร์เลย์
1. บดไพลแห้งให้ละเอียด แล้วละลายในแอลกอฮอล์ ในอัตราส่วนร้อยละ 15 โดยน้ำหนัก แล้วนำไปฉีดพ่น

มะรุม
• เชื้อรา
• แบคทีเรีย
• โรคเน่า

ในใบจะสารพวกผลึกของอัลคาลอยด์ ซึ่งสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้ โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่ง Pythium debangemum กำจัดเชื้อราและแบคทีเรีย ได้แก่ โรคโคนต้น และผลเน่าของตระกูลแตง โรคผลเน่าใกล้พื้นดินของมะเขือเทศ โรคเน่าคอดินของคะน้ โรงแง่งขิงเน่า
1. นำใบมะรุมรูดเอาแต่ใบมาคลุกเคล้ากับดินที่เตรียมไว้ สำหรับเพาะกล้าหรือปลูกพืชผัก
2. ทิ้งไว้ 1 อาทิตย์ เพื่อให้ใบมะรุมย่อยสลายไปกับดิน
3. สารที่อยู่ในใบของมะรุมจะออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้ดี

มะละกอ
• โรคราสนิม
• โรคราแป้ง

ใบของมะละกอมีสารออกฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อรา เช่น โรคราสนิม และโรคราแป้ง
1. นำใบมะละกอมาหั่นประมาณ 1 กก. แล้วนำไปผสมกับน้ำ 1 ลิตร
2. จากนั้นให้คั้นเอาน้ำและกรองโดยใช้ผ้าขาวบาง แล้วเติมน้ำ 4 ลิตร
3. เติมสบู่ลงไปประมาณ 16 กรัม ละลายให้เข้ากัน แล้วนำไปฉีดพ่น

มันแกว
• เพลี้ยอ่อน
• หนอนกระทู้
• หนอนกะหล่ำ
• หนอนใยผัก
• ด้วงหมัดกระโดด
• มวนเขียว
• หนอนผีเสื้อ
• แมลงวัน

เมล็ดแก่มีสาร Pachyrrhrgin เป็นพิษต่อแมลงทางสัมผัสและทางกระเพาะอาหาร
1. นำเมล็ดมาบดให้เป็นผง ประมาณ 0.5 กก. ละลายในน้ำ 20 ลิตร แช่ทิ้งไว้ 1 – 2 วัน
2. ใช้เมล็ดมันแกว 2 กก. บดให้ละเอียด ละลายกับน้ำ 400 ลิตร แช่ทิ้งไว้ 1 วัน
3. กรองเอาแต่น้ำ ใช้ฉีดพ่นกำจัดเพลี้ยและหนอน

ยี่โถ
• มด
• แมลงผลไม้
• หนอน

เปลือกและเมล็ดจะมีสาร glycocid, neriodorin ซึ่งมีฤทธิ์ในการกำจัดแมลง
1. ใช้ดอกและใบมาบดให้ละเอียด นำมาผสมน้ำในอัตราส่วน 1 : 10 หมักทิ้งไว้ 2 วัน
2. นำมากรองเอาแต่น้ำ ฉีดพ่นกำจัดแมลง ใช้ใบและเปลือกไม้ ไปแช่น้ำนาน 30 นาที
3. นำมากรองเอาแต่น้ำไปฉีดพ่นกำจัดแมลง


ละหุ่ง
• ปลวก
• แมงกะชอน
• ไส้เดือนฝอย
• หนู

มีประสิทธิภาพในการป้องกันศัตรูพืช
1. เพียงแค่ปลูกละหุ่งเป็นแนวรอบสวนก็สามารถป้องกันหรือขับไล่ศัตรูพืช เช่น แมลกะชอน หนู
ปลวก และไส้เดือนฝอย
2. หรือปลูกหมุนเวียนในไร่ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไส้เดือนฝอย

ลางสาด
• หนอนหลอดลม

เมล็ดมีสาร Acid Alkaloid ซึ่งเป็นพิษกับแมลงและหนอน
1. นำเมล็ดครึ่ง กก. บดให้ละเอียด ผสมกับน้ำ 20 ลิตร แช่ทิ้งไว้ 24 ชม. นำมากรองเอาแต่น้ำ
ไปฉีดพ่นกำจัดแมลง

เลี่ยน
• หนอนกระทู้
• หนอนเจาะลำต้นข้าวโพด
• หนอนเจาะผลโกโก้
• ด้วงงวง
• เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล
• ไรแดงส้ม
• เพลี้ยอ่อนกะหล่ำ
• หนอนผีเสื้อกะหล่ำ

เปลือกของต้น ใบ ผล เมล็ด มีสารที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดแมลง ขับไล่แมลง ยับยั้งการดูดกิน
การเจริญเติบโต
1. นำใบเลี่ยนสด 150 กรัม หรือใบแห้ง 50 กรัม นำมาแช่น้ำ 1 ลิตร หมักทิ้งไว้ 24 ชม.
2. นำมากรองเอาแต่น้ำไปฉีดพ่นกำจัดแมลง

ว่านน้ำ
• ด้วงหมัดผัก
• หนอนกระทู้ผัก
• แมลงวันทอง
• แมลงในโรงเก็บ
• ด้วงงวงช้าง
• ด้วงเจาะเมล็ดถั่ว

เหง้าจะมีน้ำมันหอมระเหย ชนิด Calamol aldehyde มีพิษต่อระบบประสาทของแมลง
1. นำเหง้ามาบดเป็นผง 30 กรัม ผสมกับน้ำ 4 ลิตร หมักทิ้งไว้ 24 ชม. หรือต้มนาน 45 นาที
2. นำมาผสมน้ำสบู่ 1 ช้อนโต๊ะ นำไปฉีดพ่น 2 วัน ๆ ละ 1 ครั้ง

เศรษฐกิจพอเพียง : เกษตรทฤษฏีใหม่

เศรษฐกิจพอเพียง : เกษตรทฤษฏีใหม่
“เศรษฐกิจพอเพียง” (Sufficiency Economy) เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัส ชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอด รวมถึงการพัฒนาและบริหารประเทศ ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ ทางสายกลาง คำนึงถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ตลอดจนใช้ความรู้ ความรอบคอบ และคุณธรรม ประกอบการวางแผน การตัดสินใจ และการกระทำ
การปฏิบัติตามเศรษฐกิจพอเพียง
แนวคิดระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงสำหรับเกษตรกร ตามแนวพระราชดำริ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักการ “ทฤษฎีใหม่” 3 ขั้น คือ
ขั้นที่หนึ่ง มีความพอเพียง เลี้ยงตัวเองได้บนพื้นฐานของความประหยัด ขจัดการใช้จ่าย
ขั้นที่สอง รวมพลังกันในรูปกลุ่ม เพื่อทำการผลิต การตลาด การจัดการ รวมทั้งด้านสวัสดิการ การศึกษา การพัฒนาสังคม ฯลฯ
ขั้นที่สาม สร้างเครือข่ายกลุ่มอาชีพและขยายกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้หลากหลาย โดยประสานความร่วมมือกับภาคธุรกิจ
ภาคองค์กรพัฒนาเอกชน และภาคราชการ ในด้านเงินทุน การตลาด การผลิต การจัดการ และข่าวสารข้อมูล นัยสำคัญของแนวคิดระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงมีองค์ประกอบหลักอยู่ 3 ประการ ได้แก่

ประการแรก เป็นระบบเศรษฐกิจที่ยึดถือหลักการที่ว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” โดยมุ่งเน้นการผลิตพืชผลให้เพียงพอกับความต้องการบริโภคในครัวเรือนเป็นอันดับแรกเมื่อเหลือพอจากการบริโภคแล้ว จึงคำนึงถึงการผลิตเพื่อการค้าเป็นอันดับรองลงมา ผลผลิตส่วนเกินที่ออกสู่ตลาดก็จะเป็นกำไรของเกษตรกร ในสภาพการณ์เช่นนี้เกษตรกรจะกลายสถานะเป็นผู้กำหนดหรือเป็นผู้กระทำต่อตลาด แทนที่ว่าตลาดจะเป็นตัวกระทำหรือเป็นตัวกำหนดเกษตรกรดังเช่นที่เป็นอยู่ในขณะนี้ และหลักใหญ่สำคัญยิ่ง คือ การลดค่าใช้จ่าย โดยการสร้างสิ่งอุปโภคบริโภคในที่ดินของตนเอง เช่น ข้าว น้ำ ปลา ไก่ ไม้ผล พืชผัก ฯลฯ

ประการที่สอง เศรษฐกิจแบบพอเพียงให้ความสำคัญกับการรวมกลุ่มของชาวบ้าน ทั้งนี้ กลุ่มชาวบ้านหรือองค์กรชาวบ้านจะทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ให้หลากหลาย ครอบคลุมทั้งการเกษตรแบบผสมผสาน หัตถกรรมการแปรรูปอาหาร การทำธุรกิจค้าขาย และการท่องเที่ยวระดับชุมชน ฯลฯ เมื่อองค์กรชาวบ้านเหล่านี้ได้รับการพัฒนาให้เข้มแข็ง และมีเครือข่ายที่กว้างขวางมากขึ้นแล้วเกษตรกรทั้งหมดในชุมชนก็จะได้รับการดูแลให้มีรายได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งได้รับการแก้ไขปัญหาในทุก ๆ ด้าน เมื่อเป็นเช่นนี้ เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศก็จะสามารถเติบโตไปได้อย่างมีเสถียรภาพ ซึ่งหมายความว่าเศรษฐกิจสามารถขยายตัวไปพร้อม ๆ กับสภาวการณ์ด้านการกระจายรายได้ที่ดีขึ้น

ประการที่สาม เศรษฐกิจแบบพอเพียงตั้งอยู่บนพื้นฐานของการมีความเมตตา ความเอื้ออาทร และความสามัคคีของสมาชิกในชุมชนในการร่วมแรงร่วมใจเพื่อประกอบอาชีพต่าง ๆ ให้บรรลุผลสำเร็จ ประโยชน์ที่เกิดขึ้นจึงมิได้หมายถึงรายได้แต่เพียงมิติเดียว หากแต่ยังรวมถึงประโยชน์ในมิติอื่น ๆ ด้วย ได้แก่ การสร้างความมั่นคงให้กับสถาบันครอบครัว สถาบันชุมชน ความสามารถในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของชุมชนบนพื้นฐานของภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมทั้งการรักษาไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามของไทยให้คงอยู่ตลอดไป
*****************
ที่มาของ “การเกษตรทฤษฎีใหม่” ตามแนวพระราชดำริ

ประเทศไทย เป็นประเทศที่อยู่ในเขตร้อนชื้นฝนตกค่อนข้างชุก มีค่าเฉลี่ยทั่วประเทศ ประมาณ 1,500 มิลลิเมตร และมีฤดูฝนนานประมาณ 5 - 6 เดือน ในอดีตเมื่อป่าไม้ยังอุดมสมบูรณ์อยู่ น้ำฝนส่วนหนึ่งจะถูกดูด ซับไว้ในป่า ส่วนหนึ่งจะไหลลงสู่ใต้ดินอีกส่วนหนึ่งจะถูกเก็บกักไว้ตามที่ลุ่ม เช่น ห้วย หนอง คลอง บึง ตามธรรมชาติ ส่วนที่เหลือจะระเหยสู่บรรยากาศและไหลลงสู่ลำห้วย ลำธาร แม่น้ำ และออกสู่ทะเล น้ำที่ถูกเก็บกักไว้ในป่า และในแหล่งน้ำธรรมชาติเหล่านี้จะค่อยๆ ไหลซึมซับออกมาทีละน้อยตลอดปี ส่วนที่ขังอยู่ในหนอง คลอง บึง และแอ่งน้ำต่างๆ ก็จะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนในช่วงฤดูแล้ง
ต่อมาระบบนิเวศน์เปลี่ยนไปป่าไม้ถูกทำลายถูกถากถางเพื่อการเกษตรและกิจกรรมต่างๆ ห้วย หนอง คลอง บึงสาธารณะจะตื้นเขิน และถูกบุกรุกเข้าถือครองกรรมสิทธิ์ บริเวณทางระบายน้ำออกสู่ทะเลตามธรรมชาติถูกใช้ประโยชน์ในการก่อสร้างอาคาร ถนน ทางรถไฟ บ่อเลี้ยงกุ้ง เลี้ยงปลา และอื่น ๆ เมื่อฝนตกลงมาน้ำไหลสู่ที่ต่ำอย่างรวดเร็ว เพราะไม่มีที่เก็บกัก แต่เมื่อกระทบสิ่งกีดขวางก็ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันอย่างรุนแรง เมื่อน้ำท่าไหลลงทะเลหมดและไม่มีน้ำจากป่ามาเติม แหล่งน้ำตามธรรมชาติก็เหือดแห้ง จึงทำให้เกิดแห้งแล้งและขาดน้ำอุปโภคบริโภคอยู่เสมอ
เกษตรกรที่อยู่ในสภาวะดังกล่าว โดยเฉพาะชาวนาที่อยู่ในเขตใช้น้ำฝนจึงได้รับความเดือดร้อน ผลิตผลเสียหายเป็นประจำและไม่พอเลี้ยงชีพ ต้องอพยพทิ้งถิ่นฐานไปหารายได้ในเมืองใหญ่ ๆ และเกิดปัญหาด้านสังคมตามมา
นับตั้งแต่เสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติเมื่อปีพุทธศักราช 2489 เป็นต้นมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้เสด็จแปรพระราชฐานและเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมพสกนิกรทั่วราชอาณาจักรเรื่อยมา พระองค์ได้ประสบกับสภาพดิน ฟ้า อากาศและภูมิประเทศในภูมิภาคต่างๆ และทอดพระเนตรความทุกข์ยากแร้นแค้น ตลอดจนปัญหาอุปสรรคในการดำรงชีวิตของประชาชนทั่วประเทศด้วยพระองค์เอง ทรงตระหนักถึงปัญหาและอุปสรรคเหล่านี้อย่างถ่องแท้ และได้ทรงมีพระราชดำริริเริ่มโครงการต่างๆ เพื่อแก้ไข เพื่อบรรเทาปัญหาเหล่านี้โดยเฉพาะ โครงการอนุรักษ์ ป่าไม้ต้นน้ำลำธาร และโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดต่างๆ จำนวนมาก
สำหรับในด้านการพัฒนาอาชีพของประชาชนในชนบท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้พระราชทานแนวทางครั้งสำคัญเมื่อปี พ.ศ.2532 ซึ่งต่อมาประชาราษฎร์ได้รู้จักกันอย่างดีในนามเกษตร "ทฤษฎีใหม่"
แนวทางการพัฒนาชีวิตและอาชีพตามแนวทฤษฎีใหม่นี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้พระราชทาน พระราชดำริไว้ 3 ขั้นคือ ขั้นที่ 1 การผลิต ขั้นที่ 2 การรวมพลังกันในรูปกลุ่มหรือสหกรณ์ และขั้นที่ 3 การร่วมมือกับแหล่งเงิน (ธนาคาร) และกับแหล่งพลังงาน
ข้อมูลจากเวป.. สภาที่ปรึกษาฯ
-----------------------------
หมายเหตุ.. ท่านสามารถลงทะเบียนเพื่อเรียนรู้ "เศรษฐกิจพอเพียง" ได้ที่..
เวปไซด์นี้.. http://longlivetheking.kpmax.com/
หรือ ... http://www.sufficiencyeconomy.org/

วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ชาวบ้านอำเภอทุ่งเสลี่ยมถูกหลวกตุ่นเงินแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กองทุนฟื้นฟูฯ

เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2552 นางเอื้อมดาว ทิพย์นาวา หัวหน้าสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรจังหวัดสุโขทัย ประสานงานจากกลุ่มเกษตรกรอำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย หลังถูก นายเสน่ห์ เขื่อนทา แกนนำกลุ่มเกษตรกรเครือข่ายหนี้สินชาวนาแห่งประเทศไทย แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กองทุนฟื้นฟูฯเรียกเก็บเงิน หลอกลวงโดยอ้างเหตุผลว่าแลกกับการให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเข้าไปช่วยรับซื้อหนี้ โดยเข้าแจ้งความร้องทุกข์ ณ สถานีตำรวภูธรทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย

นายบุญโฮม อ้วนแพง หนึ่งในเกษตรกร จังหวัดสุโขทัย กล่าวว่า ตนและเพื่อนเกษตรกร ใน อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย ถูกเรียกเก็บเงินจากนายเสน่ห์ มาตั้งแต่เดือน กันยายน 2551 ถึง เมษายน 2552 รวม 16 ครั้ง ครั้งละประมาณ 500, 200 และ 150 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้สินของตนเอง และถ้าหากใครไม่จ่าย ก็จะถูกขู่ว่าจะไม่ลงชื่อรับรองการแก้ไขปัญหาหนี้สินให้ ทั้งนี้ การเรียกเก็บเงินครั้งแรกต้องจ่ายคนละ 500 บาท เป็นค่าสมัครสมาชิก ต่อมาครั้งที่ 2 อีก 500 บาท เป็นค่าลงทะเบียนกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรครั้งต่อมาอีก 300 บาท เป็นค่าไปส่งเอกสารที่กองทุนฟื้นฟูฯ กรุงเทพฯ จากนั้นก็ยังมีการเรียกเก็บเงินเรื่อยๆ 200 บาทบ้าง 400 บาทบ้าง โดยบอกว่าเป็นค่าเขียนเอกสาร หรือบางครั้งไม่รู้สาเหตุหรือก็บอกว่าเก็บไปให้กองทุนฟื้นฟูฯ รวมทั้งมีการเก็บเงินไปทำบัตร เอาไปขึ้นทะเบียน ธ.ก.ส.

"เกษตรกรที่ อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย แต่ละคนได้จ่ายเงินไปจนถึงขณะนี้ คนละประมาณ 5,000 กว่าบาท แต่ไม่เคยได้รับความชัดเจนเลยว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาให้เกษตรกรได้ เพราะเกษตรกรแต่ละรายมีหนี้ประมาณ 400,000-500,000 บาทต่อคน แต่ไม่เคยมีชื่ออยู่ในบัญชีแก้ไขหนี้สินจากภาครัฐอย่างเช่นที่กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร มีการจ่ายเช็คเงินสดในครั้งนี้ 414 ล้านบาท เพื่อแก้ไขหนี้สินให้กับเกษตรกร ก็ไม่มีรายชื่อพวกของตนเองรวมอยู่ด้วย จนกระทั่งรู้ว่าถูกหลอกลวงชัดเจนแล้วพวกผมเลยต้องมายื่นเรื่องต่อกองทุนฯให้ช่วยเหลืออะไรจะเกิดก็ให้เกิดไป ใครจะทำร้ายอะไรผมก็ทำไป เพราะรู้สึกว่าทนไม่ได้แล้วกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะฝีมือของคนที่ฉวยโอกาสเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากพวกผม มาทำนาบนหลังคน"
ขณะที่ รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ รักษาการในตำแหน่งเลขาธิการ สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร กล่าวว่า ปัญหาการถูกเรียกเก็บเงินค่าหัวคิวจากเกษตรกรที่กำลังประสบปัญหาเดือดร้อนจากเรื่องหนี้สิน เกิดขึ้นมาโดยตลอด และเกิดขึ้นกับเกษตรกรหลายจังหวัด ซึ่งเกษตรกรใน อ.ทุ่งเสลี่ยม เป็นแค่ตัวอย่างหนึ่ง ที่อดทนกับการถูกเก็บค่านายหน้าไม่ไหว จึงได้เข้ามาร้องเรียนส่วนกลุ่มเกษตรกรเครือข่ายหนี้สินชาวนา ไม่ใช่กลุ่มแรกที่มีพฤติกรรมในการเข้าไปเรียกเก็บเงินแบบนี้บอกว่าจะมาเลี้ยงโต๊ะจีนตนเองบ้าง และมีอีกหลายกลุ่มทั่วประเทศที่ดำเนินการแบบนี้เช่นกัน

"กลุ่มคนพวกนี้มันจะเอาชื่อกองทุนฯไปแอบอ้าง ว่าสามารถแก้ไขปัญหาหนี้สินให้ได้ และก็ไปเรียกเก็บเงินมา รายละไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท ทั้งที่ในข้อเท็จจริงแล้ว ในการติดต่อเรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้สิน กองทุนฯจะไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายแม้แต่บาทเดียว ปัญหาการเรียกเก็บหัวคิวแบบนี้ คิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการล้างบางกลุ่มคนที่มาแอบอ้างชื่อกองทุนฯไปหาผลประโยชน์ให้หมดไปเร็วที่สุด ส่วนกรณีของนายเสน่ห์ ซึ่งเป็นแกนนำของกลุ่มเกษตรกรเครือข่ายหนี้สินชาวนาในต่างจังหวัดล่าสุดได้รับแจ้งว่าผู้กำกับ สภ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย ได้มีการออกหมายจับ และควบคุมตัวนายเสน่ห์ ซึ่งเป็นผู้หลอกลวงเกษตรกรได้แล้ว" ทั้งนี้ กลุ่มเกษตรกรเครือข่ายหนี้สินชาวนาเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดในประเทศ มีเจ้าหน้าที่ในกองทุนฯเข้าไปร่วมอยู่ด้วย จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่ากลุ่มนี้ไปจดทะเบียนเป็นพรรคการเมือง และได้รับเงินสนับสนุนจากคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นจำนวนมาก และมักจะใช้ข้ออ้างในการแก้ไขปัญหาเรื่องหนี้สิน เป็นช่องทางในการรับสมัครสมาชิก ซึ่งเป็นเกษตรกรที่เดือดร้อน ซึ่งตนอาจต้องเดินทางไปหารือกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เกี่ยวกับปัญหานี้ด้วย สำหรับข้อมูลการชำระหนี้สินเกษตรกรตั้งแต่ปี 2549 จนถึง 31 มี.ค.สำนักงานกองทุนฯรับชำระหนี้แทนเกษตรกร 6,515 ราย คิดเป็นมูลหนี้ 1,056 ล้านบาท

นางเอื้อมดาว ทิพย์นาวา หัวหน้าสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรจังหวัดสุโขทัย กล่าวว่า หากเกษตกรรายใดถูกหลอกลวงในกรณีดังกล่าวให้รีบแจ้งความร้องทุกข์ได้ และประสานงานมยังสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรจังหวัดสุโขทัยเพื่อตรวจสอบรายชื่อการเป็นสมาชิกกองทุนฟื้นฟูฯ ได้ที่สาขาทุกจังหวัด หรือที่จังหวัดสุโขทัย ตั้งอยู่ที่ถนนสิงหวัฒน์ ตำบลธานี อำเภอเมืองสุโขทัย สุโขทัย โทร 055-616405-6

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เครือข่ายภาคประชาชน และองค์กรสาธารณะประโยชน์แถลงการเพื่อยกเลิกประกาศวัตถุอันตราย(ฉบับที่ 6) พ.ศ.2552

เครือข่ายภาคประชาชน และองค์กรสาธารณะประโยชน์ 12 องค์กร ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ยกเลิกคำประกาศให้พืชสมุนไพรซึ่งใช้ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืชรวม 13 ชนิด ได้แก่ สะเดา ตะไคร้หอม ขมิ้นชัน ขิง ข่า ดาวเรือง สาบเสือ กากเมล็ดชา พริก คื่นฉ่าย ชุมเห็ดเทศ ดองดึง และหนอนตายหยาก เป็นวัตถุอันตรายประเภทที่ 1 นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้นายกรัฐมตรี ตรวจสอบการบริหารงานของรัฐมตรีที่เกี่ยวข้อง และข้าราชการที่ผลักดันเรื่องดังกล่าว ว่าได้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจในขณะนี้ หรือไม่

คำแถลงระบุว่า มีการร่างประกาศให้ผู้ใดก็ตามที่ผลิต นำเข้า หรือส่งออกเพื่อขายพืชสมุนไพรดังกล่าวต้องแจ้งล่วงหน้าต่อเจ้าพนักงานตามแบบฟอร์มที่กรมวิชาเกษตรเป็นผู้กำหนด ซึ่งการออกกฎระเบียบดังกล่าวมุ่งเน้นไปที่การควบคุมเกษตรกร ชุมชน หรือผู้ประกอบการรายย่อย เนื่องจากประกาศควบคุมเฉพาะ “ผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืชซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี” และ “เฉพาะที่นำไปใช้ในการป้องกันกำจัด ทำลาย ควบคุมแมลง วัชพืช โรคพืช ศัตรูพืช หรือควบคุมการเจริญเติบโตของพืช” ทั้งนี้หากไม่ดำเนินการจะมีความผิดตามกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

“พืชสมุนไพรทั้ง 13 ชนิดเป็นพืชที่เกษตรกรได้นำมาใช้ประโยชน์เพื่อเป็นสารควบคุมแมลงเพื่อทดแทนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชมานาน เนื่องจากไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเลย จนถึงมีผลน้อยมาก ไม่ก่อให้เกิดผลตกค้างที่เป็นอันตรายต่อทั้งเกษตรกรเองและผู้บริโภค สามารถหาได้เองจากในชุมชนหรือจากเพื่อนบ้านใกล้เคียง หรือซื้อได้ในราคาไม่แพงจากชาวบ้าน หรือผู้ประกอบการในท้องถิ่นซึ่งในระยะหลังมีการรวมกลุ่มกันทำการผลิตเพื่อขายกันอย่างแพร่หลาย”

“การดำเนินการของกรมวิชาการเกษตรจะสร้างผลกระทบอย่างสำคัญต่อเกษตรกรและคนในท้องถิ่นรวมจนถึงผู้ประกอบการรายย่อยที่เริ่มดำเนินการเพื่อพัฒนาสมุนไพรควบคุมศัตรูพืช เป็นการสร้างภาระ และอุปสรรคในการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากสมุนไพรทั้งในด้านการเกษตร การสาธารณสุขและอื่นๆ เป็นการสร้างเงื่อนไขให้กับเจ้าหน้าที่ส่วนน้อยที่ไม่สุจริตเรียกร้องผลประโยชน์จากเกษตรกรและผู้ประกอบการ และสร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ที่ไม่สามารถหาสมุนไพรมาผลิตเองใช้เองต้องหันไปซื้อสารเคมีซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศแทน”

“แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอ้างว่า การประกาศดังกล่าวเป็นไปเพื่อคุ้มครองผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และคุ้มครองเกษตรกร แต่การดำเนินดังกล่าวซึ่งรวบรัดดำเนินการ และไม่ได้ฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากองค์กรสาธารณะประโยชน์ที่ทำงานด้านเกษตรกรรมยั่งยืน สิ่งแวดล้อม คุ้มครองผู้บริโภค และจัดการปัญหาวัตถุอันตรายในท้องถิ่น รวมทั้งเกษตรกรและองค์กรท้องถิ่นเป็นจำนวนมากที่เกี่ยวข้องและได้รับผลกระทบโดยตรงนั้น นอกจากเป็นการดำเนินการที่ปราศจากธรรมาภิบาลแล้ว ยังตั้งคำถามว่า คำประกาศดังกล่าวนั้นมีเจตนาเอื้ออำนวยประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการเคมีเกษตร และบรรษัทข้ามชาติหรือไม่ ?” คำแถลงระบุ

คำแถลงของเครือข่ายภาคประชาชน และองค์กรสาธารณะประโยชน์
เรียกร้องให้ยกเลิกคำประกาศให้พืชอาหารและสมุนไพร 13 ชนิดเป็นวัตถุอันตราย

1. สาระสำคัญของเรื่อง
1.1 เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2552 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 วรรคสอง และมาตรา 18 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.2535 โดยดำเนินการตามข้อเสนอของกรมวิชาการเกษตร และความเห็นชอบของคณะกรรมการวัตถุอันตราย ได้ประกาศ [1] ให้พืชสมุนไพรซึ่งใช้ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืชรวม 13 ชนิด ได้แก่ สะเดา ตะไคร้หอม ขมิ้นชัน ขิง ข่า ดาวเรือง สาบเสือ กากเมล็ดชา พริก คื่นฉ่าย ชุมเห็ดเทศ ดองดึง และหนอนตายหยาก เป็นวัตถุอันตรายประเภทที่ 1

1.2 ขณะนี้กรมวิชาการเกษตร ได้ร่างประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ [2] โดยให้ผู้ใดก็ตามที่ผลิต นำเข้า หรือส่งออกเพื่อขายพืชสมุนไพรดังกล่าวต้องแจ้งล่วงหน้าต่อเจ้าพนักงานตามแบบฟอร์มที่กรมวิชาเกษตรเป็นผู้กำหนด [3] การออกกฎระเบียบดังกล่าวมุ่งเน้นไปที่การควบคุมเกษตรกร ชุมชน หรือผู้ประกอบการรายย่อยโดยแท้ เนื่องจากประกาศควบคุมเฉพาะ “ผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืชซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี” และ “เฉพาะที่นำไปใช้ในการป้องกันกำจัด ทำลาย ควบคุมแมลง วัชพืช โรคพืช ศัตรูพืช หรือควบคุมการเจริญเติบโตของพืช” ทั้งนี้หากไม่ดำเนินการจะมีความผิดตามกฎหมาย

1.3 ตามความในมาตรา 18 วัตถุอันตรายชนิดที่ 1 นั้น ผู้ใดที่ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองต้องปฎิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนด ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษตามความในมาตรา 71 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

2. ผลกระทบ
2.1 พืชสมุนไพรทั้ง 13 ชนิดเป็นพืชที่เกษตรกรได้นำมาใช้ประโยชน์เพื่อเป็นสารควบคุมแมลงเพื่อทดแทนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชมานาน เนื่องจากไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเลย จนถึงมีผลน้อยมาก ไม่ก่อให้เกิดผลตกค้างที่เป็นอันตรายต่อทั้งเกษตรกรเองและผู้บริโภค สามารถหาได้เองจากในชุมชนหรือจากเพื่อนบ้านใกล้เคียง หรือซื้อได้ในราคาไม่แพงจากชาวบ้าน หรือผู้ประกอบการในท้องถิ่นซึ่งในระยะหลังมีการรวมกลุ่มกันทำการผลิตเพื่อขายกันอย่างแพร่หลาย เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจของท้องถิ่นบนฐานความหลากหลายทางชีวภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพาสารเคมีซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศ คาดว่ามีจำนวนผู้ใช้สมุนไพรดังกล่าวในการควบคุมแมลงหลายแสนครอบครัว และทดแทนการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชหลายร้อยล้านบาทจนถึงพันล้านบาท [4] ทั้งนี้ไม่นับไปถึงคุณค่าในการเกื้อกูลต่อสุขภาวะต่อเกษตรกร ผู้บริโภค และสังคมไทยโดยรวม

2.2 การดำเนินการของกรมวิชาการเกษตรจะสร้างผลกระทบอย่างสำคัญต่อเกษตรกรและคนในท้องถิ่นรวมจนถึงผู้ประกอบการรายย่อยที่เริ่มดำเนินการเพื่อพัฒนาสมุนไพรควบคุมศัตรูพืช เป็นการสร้างภาระ และอุปสรรคในการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากสมุนไพรทั้งในด้านการเกษตร การสาธารณสุขและอื่นๆ เป็นการสร้างเงื่อนไขให้กับเจ้าหน้าที่ส่วนน้อยที่ไม่สุจริตเรียกร้องผลประโยชน์จากเกษตรกรและผู้ประกอบการ และสร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ที่ไม่สามารถหาสมุนไพรมาผลิตเองใช้เองต้องหันไปซื้อสารเคมีซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศแทน

ในยุคของวิกฤติเศรษฐกิจซึ่งขณะนี้ยังไม่มีนโยบายใดๆ ของรัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรมในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกร การดำเนินการของกรมวิชาการเกษตรยังเป็นการสร้างปัญหาให้เพิ่มขึ้นอีก ทั้งๆ ที่เกษตรกรเผชิญปัญหาด้านต่างๆ มากเกินพออยู่แล้ว

3. ข้อสังเกตบางประการ
แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอ้างว่า การประกาศดังกล่าวเป็นไปเพื่อคุ้มครองผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และคุ้มครองเกษตรกร แต่การดำเนินดังกล่าวซึ่งรวบรัดดำเนินการ และไม่ได้ฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากองค์กรสาธารณะประโยชน์ที่ทำงานด้านเกษตรกรรมยั่งยืน สิ่งแวดล้อม คุ้มครองผู้บริโภค และจัดการปัญหาวัตถุอันตรายในท้องถิ่น [5] รวมทั้งเกษตรกรและองค์กรท้องถิ่นเป็นจำนวนมากที่เกี่ยวข้องและได้รับผลกระทบโดยตรงนั้น นอกจากเป็นการดำเนินการที่ปราศจากธรรมาภิบาลแล้ว ยังตั้งคำถามว่า คำประกาศดังกล่าวนั้นมีเจตนาเอื้ออำนวยประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการเคมีเกษตร และบรรษัทข้ามชาติหรือไม่ ?

4. ข้อเสนอ
เครือข่ายของภาคประชาชน ตามท้ายคำแถลงนี้ ขอเรียกร้องต่อผู้เกี่ยวข้องให้ดำเนินการดังต่อไปนี้
4.1 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการให้มีการยกเลิกคำประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย(ฉบับที่ 6) พ.ศ.2552 และยกเลิกการดำเนินการของกรมวิชาการเกษตร เรื่อง การแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ที่กรมวิชาการเกษตรเป็นผู้รับผิดชอบ พ.ศ....” โดยให้ยกเลิกภายใน 30 วัน

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

สูตรการผลิตปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพ

วัสดุที่เป็นส่วนประกอบสำคัญ มีดังนี้
มูลวัว 1,000 กิโลกรัม
อินทรีย์จากหมูลหมูลหลุม 500 กิโลกรัม
มูลค้างค้าว 200 กิโลกรัม
แกลบดำ 100 กิโลกรัม
แกลบดิบ 100 กิโลกรัม
กากน้ำตาล 50 กิโลกรัม
น้ำหมักชีวภาพ 100 ลิตร
รำอ่อน รำแก่ 100 กิโลกรัม
แร่แอนริช 100 กิโลกรัม
แร่ซีโอไร้ 100 กิโลกรัม
แร่โดโรไมด์ 100 กิโลกรัม
สารเร่ง พ.ด. 1 จำนวน 2 ซอง
แหนแดง 100 กิโลกรัม

สำหรับวัสดุอุปกรณ์ในการผลิตสามารถติดต่อ ได้ที่
คุณวิษณุ นึกอนันต์ โทร.081-5339770

วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

การผลิตปุ๋ยอินทรีย์น้ำชีวภาพ

วิธีการทำปุ๋ยอินทรีย์น้ำ
1.ผสมวัสดุพืช ผลไม้ หรือสัตว์ เช่น ปลา หอยเชอรี่ กล้วยสุก มะละกอ ฟักทองแก่ ใบผักสีเขียว สับปะรด จำนวน 30 กิโลกรัม สับให้เล็กก่อนหมัก
2.ใช้กากน้ำตาล หรือน้ำตาลทรายแดง น้ำมะพร้าว น้ำอ้อย จำนวน 10 กิโลกรัมใส่ลงถังหมักคนให้เข้ากัน
3.นำสารเร่งจุลินทรีย์ พด.2 จำนวน 1 ซอง ผสมในน้ำ 10 ลิตร คนให้เข้ากันนาน 5 นาที เทลงถังในหมัก
4.นำน้ำสะอาด จำนวน 10 ลิตร เติมลงไปในถัง และปิดฝาไม่ต้องสนิทให้คน ระบายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทุก 2 วัน ใช้เวลาหมัก 120 วัน ถึงจะสมบูรณ์ดี
อัตราที่ใช้
ใช้ 3-5 ช้อนแกง ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น ราด หรือรดโคนต้น ทุกๆ 7-10 วัน
ประโยชน์ของปุ๋ยอินทรีย์น้ำ
1.เร่งการเจริญเติมโตของรากพืช
2.เพิ่มการขยายตัวของใบและยืดตัวของลำต้น
3.ชักนำให้เกิดการออกดอกติดผลดีขึ้น
4.ส่งเสริมการออกดอกติดผลดีขึ้น
5.ให้ธาตุอาหารพืช ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ จากหอยเชอรี่ ปลา ผลไม้สุกที่มีสีเหลืองจะให้ไนโตรเจนสูง
แหล่งข้อมูล : คุณประดิษฐ์ สารีคำ เกษตรกรไร่นาสวนผสม
อยู่ที่ 97/1 หมู่ที่ 6 บ้านเนินมะคึก อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก
โทร.081-4749349

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

งานเทศกาลผลไม้ มะเฟืองหวาน ผสมผสานผลไม้ของดีเมืองพิษณุโลก ประจำปี 2552

งานมะเฟืองหวาน ผสมผสานผลไม้ของดีเมืองพิษณุโลก ประจำปี 2552

มะเฟือง หรือ สตาร์ฟรุต เป็นผลไม้มหัศจรรย์ที่มีรสชาติอร่อยราวกับรวมเอาสับปะรด มะนาว ลูกพลัม มารวมกัน กินแล้วสดชื่นและยังมีประโยชน์ในเชิงการแพทย์เนื่องจากมีคุณค่าทางอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 ไนอะซิน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเส้นใยอาหาร ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่มะเฟืองจะเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่เป็นที่ชื่นชอบของผู้รักษาสุขภาพทั้งในและต่างประเทศ...อย่างมาก

จากการที่พิษณุโลกเป็นแหล่งปลูกมะเฟืองและผลไม้นานาชนิดหมุนเวียนตลอดทั้งปี การนี้ นายปรีชา เรืองจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ได้สนับสนุนการจัดงานเทศกาลผลไม้มะเฟืองหวาน ผสมผสานผลไม้ของดีเมืองพิษณุโลก ประจำปี 2552 เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางประชาสัมพันธ์และเชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคของตลาดไม้ผลพื้นบ้านและผลผลิตท้องถิ่นในจังหวัดพิษณุโลกให้เกิดเป็นรูปธรรม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ที่จะเกิดกับกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้โดยตรง

การนี้นายสุรพล จารุพงศ์ เกษตรจังหวัดพิษณุโลก ได้กล่าวว่า ในทุกปีจังหวัดพิษณุโลกจะมีผลไม้นานาชนิดออกตามฤดูกาลตลอดทั้งปี จึงควรสนับสนุนที่จะนำเอาผลไม้ดีที่มีคุณภาพ ให้เป็นที่รู้จักแก่ประชาชนในจังหวัดและเป็นการช่วยสนับสนุนเกษตรกรในการเพาะปลูกผลไม้คุณภาพ ในงานจึงได้จัดให้มีเวทีในการนำผลผลิตพืชท้องถิ่นที่หลากหลายมาประชันความอร่อยและคุณภาพผ่านการประกวดที่จะจัดขึ้นในงาน ดังนั้นจังหวัดพิษณุโลก โดยสำนักงานจังหวัดพิษณุโลกร่วมกับสำนักงานเกษตรจังหวัดพิษณุโลก จึงกำหนดจัดงานวันมะเฟืองหวาน ประจำปี 2552 ในวันที่ 24 พฤษภาคม 2552 ถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2552 ณ บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก
แหล่งข้อมูลข่าว :
นางสาวณัชชา ลี้วิศิษฏ์พัฒนา
งานข่าวและประชาสัมพันธ์ ฝ่ายยุทธศาสตร์และสารสนเทศสำนักงานเกษตรจังหวัดพิษณุโลก
โทร.089-4619118 e-mail : nuchchal@hotmail.com

สัมมนากำหนดพืช 13 ชนิดเป็นวัตถุอันตรายฯ

จังหวัดพิษณุโลกได้รับการประสานงานกรมวิชาการเกษตร จัดสัมมนา เรื่อง การกำหนดพืช 13 ชนิดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ได้แก่ สะเดา กากเมล็ดชา ข่า ขิง ขมิ้นชัน ตะไคร้หอม สาบเสือ ดาวเรือง พริก คึ่นฉ่าย ชุมเห็ดเทศ ดองดึง และหนองตายหยาก ซึ่งได้มอบหมายให้ บริษัท ดิจิตอล มีเดีย โฮลดิ้ล จำกัด เป็นผู้จัดสัมมนาเพื่อชี้แจงข้อมูลที่เป็นความจริง เป็นประโยชน์แก่เกษตรกรและความเข้าใจต่อผู้บริโภค ตลอดจนรับฟังความคิดเห็นของเกษตรกร นักวิชาการ หน่วยงานราชการ ภาคเอกชน นักการเมืองท้องถิ่น และสื่อมวลชน ประมาณ 400 - 500 คน ในวันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม 2552 เวลา 08.00 น. - 13.00 น. ณ โรงละครเฉลิมพระเกียรติ(Qs) ตึกคณะแพทย์ศาสตร์ติดกับหอสมุดมหาวิทยาลัยนเรศวร ม.นเรศวร(หนองอ้อ) จ.พิษณุโลก

การจัดสัมมนารับฟังความคิดเห็น
“การกำหนดพืช 13 ชนิดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1”

23 พฤษภาคม 2552 ภาคเหนือพิษณุโลกโรงละครเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา พระบรมราชินีนาถ มหาวิทยาลัยนเรศวร
30 พฤษภาคม 2552 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อุบลราชธานี ศูนย์วัฒนธรรมกาญจนาภิเษก ห้องพิมานทิพย์มหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี
7 มิถุนายน 2552 ภาคกลาง นนทบุรี ฮอลล์ 4 อิมแพ็คอารีนา เมืองทองธานี
13 มิถุนายน 2552ภาคใต้สุราษฎร์ธานีห้องประชุมใหญ่ โรงเรียนเทพนิมิตศึกษา อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี

กำหนดการสัมมนารับฟังความคิดเห็น
“การกำหนดพืช 13 ชนิดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1”

08.30 น. ลงทะเบียนผู้ร่วมสัมมนา (ตอบแบบสอบถามชุดที่ 1 ก่อนสัมมนา)
09.30 น. พิธีเปิดโดย อธิบดีกรมวิชาการเกษตร หรือผู้แทน
09.45 น. นำเสนอผลงานวิจัยเกี่ยวกับการใช้พืช 13 ชนิดในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช โดย ดร. รัตนาภรณ์ พรหมศรัทธา นักวิทยาศาสตร์ชำนาญการพิเศษ
สำนักวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร
10.30 น. สาระสำคัญของพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2551
11.15 น. อภิปรายเรื่อง “การกำหนดพืช 13 ชนิด เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1” ผู้ดำเนินรายการ: สร้อยฟ้า โอสถานนท์ และผู้ร่วมอภิปราย:ผู้แทนเกษตรกร ดร.รัตนาภรณ์ พรหมศรัทธา (ผู้แทนนักวิชาการ) ผู้แทนสื่อมวลชน นายวิชา ธิติประเสริฐ (ผู้แทนกรมวิชาการเกษตรร) ผู้แทนนักการเมืองท้องถิ่น
12.00 น. เปิดเวทีความคิดเห็นตอบข้อซักถามผู้เข้าร่วมตอบแบบสอบถามชุดที่ 2 หลังฟังสัมมนา
13.00 น. ปิดการสัมมนา คืนแบบสอบถาม และรับของที่ระลึก รับประทานอาหารกลางวัน
คำแถลงของเครือข่ายภาคประชาชน และองค์กรสาธารณะประโยชน์ เรียกร้องให้ยกเลิกคำประกาศให้พืชอาหารและสมุนไพร 13 ชนิดเป็นวัตถุอันตราย

1. สาระสำคัญของเรื่อง
1.1 เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2552 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 วรรคสอง และมาตรา 18 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.2535 โดยดำเนินการตามข้อเสนอของกรมวิชาการเกษตร และความเห็นชอบของคณะกรรมการวัตถุอันตราย ได้ประกาศ [1] ให้พืชสมุนไพรซึ่งใช้ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืชรวม 13 ชนิด ได้แก่ สะเดา ตะไคร้หอม ขมิ้นชัน ขิง ข่า ดาวเรือง สาบเสือ กากเมล็ดชา พริก คื่นฉ่าย ชุมเห็ดเทศ ดองดึง และหนอนตายหยาก เป็นวัตถุอันตรายประเภทที่ 1

1.2 ขณะนี้กรมวิชาการเกษตร ได้ร่างประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ [2] โดยให้ผู้ใดก็ตามที่ผลิต นำเข้า หรือส่งออกเพื่อขายพืชสมุนไพรดังกล่าวต้องแจ้งล่วงหน้าต่อเจ้าพนักงานตามแบบฟอร์มที่กรมวิชาเกษตรเป็นผู้กำหนด [3] การออกกฎระเบียบดังกล่าวมุ่งเน้นไปที่การควบคุมเกษตรกร ชุมชน หรือผู้ประกอบการรายย่อยโดยแท้ เนื่องจากประกาศควบคุมเฉพาะ “ผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืชซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี” และ “เฉพาะที่นำไปใช้ในการป้องกันกำจัด ทำลาย ควบคุมแมลง วัชพืช โรคพืช ศัตรูพืช หรือควบคุมการเจริญเติบโตของพืช” ทั้งนี้หากไม่ดำเนินการจะมีความผิดตามกฎหมาย

1.3 ตามความในมาตรา 18 วัตถุอันตรายชนิดที่ 1 นั้น ผู้ใดที่ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองต้องปฎิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนด ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษตามความในมาตรา 71 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

2. ผลกระทบ
2.1 พืชสมุนไพรทั้ง 13 ชนิดเป็นพืชที่เกษตรกรได้นำมาใช้ประโยชน์เพื่อเป็นสารควบคุมแมลงเพื่อทดแทนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชมานาน เนื่องจากไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเลย จนถึงมีผลน้อยมาก ไม่ก่อให้เกิดผลตกค้างที่เป็นอันตรายต่อทั้งเกษตรกรเองและผู้บริโภค สามารถหาได้เองจากในชุมชนหรือจากเพื่อนบ้านใกล้เคียง หรือซื้อได้ในราคาไม่แพงจากชาวบ้าน หรือผู้ประกอบการในท้องถิ่นซึ่งในระยะหลังมีการรวมกลุ่มกันทำการผลิตเพื่อขายกันอย่างแพร่หลาย เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจของท้องถิ่นบนฐานความหลากหลายทางชีวภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพาสารเคมีซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศ คาดว่ามีจำนวนผู้ใช้สมุนไพรดังกล่าวในการควบคุมแมลงหลายแสนครอบครัว และทดแทนการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชหลายร้อยล้านบาทจนถึงพันล้านบาท [4] ทั้งนี้ไม่นับไปถึงคุณค่าในการเกื้อกูลต่อสุขภาวะต่อเกษตรกร ผู้บริโภค และสังคมไทยโดยรวม

2.2 การดำเนินการของกรมวิชาการเกษตรจะสร้างผลกระทบอย่างสำคัญต่อเกษตรกรและคนในท้องถิ่นรวมจนถึงผู้ประกอบการรายย่อยที่เริ่มดำเนินการเพื่อพัฒนาสมุนไพรควบคุมศัตรูพืช เป็นการสร้างภาระ และอุปสรรคในการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากสมุนไพรทั้งในด้านการเกษตร การสาธารณสุขและอื่นๆ เป็นการสร้างเงื่อนไขให้กับเจ้าหน้าที่ส่วนน้อยที่ไม่สุจริตเรียกร้องผลประโยชน์จากเกษตรกรและผู้ประกอบการ และสร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ที่ไม่สามารถหาสมุนไพรมาผลิตเองใช้เองต้องหันไปซื้อสารเคมีซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศแทน

ในยุคของวิกฤติเศรษฐกิจซึ่งขณะนี้ยังไม่มีนโยบายใดๆ ของรัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรมในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกร การดำเนินการของกรมวิชาการเกษตรยังเป็นการสร้างปัญหาให้เพิ่มขึ้นอีก ทั้งๆ ที่เกษตรกรเผชิญปัญหาด้านต่างๆ มากเกินพออยู่แล้ว

3. ข้อสังเกตบางประการ
แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอ้างว่า การประกาศดังกล่าวเป็นไปเพื่อคุ้มครองผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และคุ้มครองเกษตรกร แต่การดำเนินดังกล่าวซึ่งรวบรัดดำเนินการ และไม่ได้ฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากองค์กรสาธารณะประโยชน์ที่ทำงานด้านเกษตรกรรมยั่งยืน สิ่งแวดล้อม คุ้มครองผู้บริโภค และจัดการปัญหาวัตถุอันตรายในท้องถิ่น [5] รวมทั้งเกษตรกรและองค์กรท้องถิ่นเป็นจำนวนมากที่เกี่ยวข้องและได้รับผลกระทบโดยตรงนั้น นอกจากเป็นการดำเนินการที่ปราศจากธรรมาภิบาลแล้ว ยังตั้งคำถามว่า คำประกาศดังกล่าวนั้นมีเจตนาเอื้ออำนวยประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการเคมีเกษตร และบรรษัทข้ามชาติหรือไม่ ?

4. ข้อเสนอ
เครือข่ายของภาคประชาชน ตามท้ายคำแถลงนี้ ขอเรียกร้องต่อผู้เกี่ยวข้องให้ดำเนินการดังต่อไปนี้
4.1 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการให้มีการยกเลิกคำประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย(ฉบับที่ 6) พ.ศ.2552 และยกเลิกการดำเนินการของกรมวิชาการเกษตร เรื่อง การแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ที่กรมวิชาการเกษตรเป็นผู้รับผิดชอบ พ.ศ....” โดยให้ยกเลิกภายใน 30 วัน

4.2 ขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ตรวจสอบการบริหารงานของรัฐมตรีที่เกี่ยวข้อง และข้าราชการที่ผลักดันเรื่องดังกล่าว ว่าได้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจในขณะนี้

เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก
เครือข่ายสุขภาพวิถีไทย
เครือข่ายหมอพื้นบ้าน
โรงเรียนชาวนา จ.สุพรรณบุรี
มูลนิธิชีววิถี
มูลนิธิสุขภาพไทย
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
มูลนิธิชีวิตไทย
มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน(ประเทศไทย)
สถาบันชุมชนเกษตรกรรมยั่งยืน จ.เชียงใหม่
โครงการรณรงค์มลภาวะอุตสาหกรรม
คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคเหนือ (กป.อพช.)

แถลง ณ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2552

เชิงอรรถ
[1] ตีพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 126 ตอนพิเศษ 18 ง หน้า 4 วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2552
[2] โปรดดู ร่างประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง การแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ที่กรมวิชาการเกษตรเป็นผู้รับผิดชอบ พ.ศ....
[3] แบบ วอ./กษ./กวก.16
[4] จากการประมาณการของเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก และมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย)
[5] ในพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย (ฉบับที่3) พ.ศ.2551 บัญญัติให้มีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอย่าง 5 คน แต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นตัวแทนขององค์กรสาธารณประโยชน์และมีประสบการณ์ การดำเนินการคุ้มครองสุขอนามัย ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านเกษตรกรรมยั่งยืน ด้านการจัดการปัญหาวัตถุอันตรายในท้องถิ่น หรือด้านสิ่งแวดล้อม อ้างอิงจาก อังคณา สุวรรณกูฐ “เจาะลึกพ.ร.บ.วัตถุอันตรายฉบับใหม่” ในจดหมายข่าวผลิใบ, กรมวิชาการเกษต

วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ประวัติจังหวัดนครสวรรค์

ประวัติจังหวัดนครสวรรค์
นครสวรรค์เป็นเมืองโบราณซึ่งสันนิษฐานว่าตั้งขึ้นในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี โดยมีปรากฏชื่อในศิลาจารึกเรียกว่า เมืองพระบาง เป็นเมืองหน้าด่านสำคัญในการทำศึกสงครามมาทุกสมัย ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย กรุงธนบุรี จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ ตัวเมืองดั้งเดิมตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาขาด(เขาฤาษี) จรดวัดหัวเมือง(วัดนครสวรรค์) ยังมีเชิงเทินดินเป็นแนวปรากฏอยู่ เมืองพระบาง ต่อมาได้เป็น เมืองชอนตะวัน เพราะตัวเมืองตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา และหันหน้าเมืองไปทางแม่น้ำซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกทำให้แสงอาทิตย์ส่องเข้าหน้าเมืองตลอดเวลา แต่ภายหลังได้เปลี่ยนเป็น เมืองนครสวรรค์ เป็นศุภนิมิตอันดี

นครสวรรค์ มีชื่อเรียกเป็นที่รู้จักแพร่หลายมาแต่เดิมว่า ปากน้ำโพ โดยปรากฏเรียกกันมาตั้งแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ตามประวัติศาสตร์ในคราวที่พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาครั้งสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ กองทัพเรือจากกรุงศรีอยุธยาได้ยกไปรับทัพข้าศึกที่ปากน้ำโพ แต่ด้านทัพข้าศึกไม่ไหว จึงล่าถอยกลับไป
ที่มาของคำว่า ปากน้ำโพ สันนิษฐานได้ 2 ประการ คือ อาจมาจากคำว่า ปากน้ำโผล่ เพราะเป็นที่ปากน้ำปิง ยม และน่าน มาโผล่รวมกันเป็น ต้นแม่น้ำเจ้าพระยา หรืออีกประการหนึ่ง คือ มีต้นโพธิ์ขนาดใหญ่อยู่ตรงปากน้ำในบริเวณวัดโพธิ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งศาลเจ้าพ่อกวนอูในปัจจุบัน จึงเรียกกันว่า ปากน้ำโพธิ์ ก็อาจเป็นได้

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงนำพระพุทธรูป ชื่อ พระบาง มาค้างไว้ที่เมืองนี้ ต่อมาไทยรบทัพจับศึกกับพม่าและปราบหัวเมืองฝ่ายเหนือที่แข็งเมืองยกมาตีกรุงศรีอยุธยาและตอนต้นกรุงเทพฯ กองทัพไทยได้ยกเคลือนที่ขึ้นมาเลือกนครสวรรค์ที่เคยเป็นโรงทหารเก่าหลังโรงเหล้าปัจจุบัน เป็นที่ตั้งทัพหลวงแล้วดัดแปลงขุดคูประตูหอรบจากตะวันตกตลาดสะพานดำ ไปบ้านสันคู ไปถึงทุ่งสันคู เดี๋ยวนี้ ยังปรากฏแนวคูอยู่ เมื่อข้าศึกยกลงมาจากทุ่งหนองเบน หนองสังข์ สลกบาตร และตะวันออกเฉียงใต้ของลาดยาวมาเหนือทุ่งสันคุ เมื่อฤดูแล้งเป็นที่ดอนขาดน้ำ ถ้าฝนตกน้ำก็หลากเข้ามาอย่างแรงท่วมข้าศึก ไทยยกทัพตีตลบหลัง พม่าวิ่งหนีผ่านช่องเขานี้จึงได้ชื่อว่า เขาช่องขาด มาจนบัดนี้
อาณาเขตทิศเหนือ
ติดต่อกับ จังหวัดกำแพงเพชร และ พิจิตร ทิศใต้ ติดต่อกับ จังหวัดอุทัยธานี สิงห์บุรี ชัยนาท ลพบุรี ทิศตะวันตก ติดต่อกับ จังหวัดตาก และ อุทัยธานี ทิศตะวันนออก ติดต่อกับ จังหวัดเพชรบูรณ์การปกครองจังหวัดนครสวรรค์มีพื้นที่ 9597.7 ตารางกิโลเมตร ภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มริมฝั่งแม่น้ำ มีป่าไม้อยู่ทางทิศตะวันตกและทิศตะวันออก แบ่งการปกครองออกเป็น 12 อำเภอ และ 1 กิ่งอำเภอ คือ อำเภอเมืองนครสวรรค์ อำเภอลาดยาว อำเภอตาคลี อำเภอชุมแสง อำเภอบรรพตพิสัย อำเภอท่าตะโก อำเภอ พยุหะคีรี อำเภอไพศาล อำเภอหนองบัว อำเภอตากฟ้า อำเภอโกรกพระ อำเภอเก้าเลี้ยวและ กิ่งอำเภอแม่วงก์

แจ้งข่าวเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกร ประจำปี พ.ศ.2552

สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร แจ้งสมาชิกให้มาตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกร ประจำปี พ.ศ.2552 ด้วยวาระการดำรงตำแหน่งของผู้แทนเกษตรกรในคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรจะหมดวาระในวันที่ 24 กรกฎาคม 2552 นั้น เพื่อให้การเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกรในครั้งนี้เป็นไปโดยสุจริตยุติธรรม และสมเจตนารมณ์ ตามพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร สำนักงานจึงได้ประกาศรายชื่อสมาชิกผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งผู้แทนเกษตรกร ประจำปี พ.ศ.2552 ครั้งที่ 1 ให้สมาชิกองค์กรเกษตรกรทำการตรวจสอบความถูกต้องต้องของรายชื่อ ณ สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรสาขาจังหวัดอันเป็นที่ตั้งขององค์กร ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม-5 มิถุนายน 2552 นี้

แหล่งข้อมูลข่าว : สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร สาขาจังหวัดพิษณุโลก ประกาศที่ กฟก ๐๓๐๐ ลงวันที่ 4 พฤษภาคม 2552
โทร.02-2700588 , ฝ่ายอำนวยการ โทร.02-6187877 ต่อ 110

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

แม่น้ำเจ้าพระยา

แม่น้ำเจ้าพระยา เป็นแม่น้ำสายหลักสายหนึ่งของประเทศไทย เกิดจากการรวมตัวจากแม่น้ำสายหลักสองสายทางภาคเหนือ คือ แม่น้ำปิงและแม่น้ำน่าน ไหลมารวมตัวกันที่ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ เป็นสายเดียวโดยเรียกรวมทั้งหมดว่า "แม่น้ำเจ้าพระยา" และไหลออกสู่อ่าวไทยที่ปากน้ำ จังหวัดสมุทรปราการ
ข้อมูลทางภูมิศาสตร์
จุดเริ่มของแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์ โดยการรวมของแม่น้ำน่านและแม่น้ำปิง ที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามีขนาดถึง 160,000 ตารางกิโลเมตรและมีความยาวถึง 372 กิโลเมตร โดยแยกออกเป็นแม่น้ำท่าจีนที่จังหวัดชัยนาท
แม่น้ำเจ้าพระยา เป็นแม่น้ำเก่าในยุคไพลสโตซีน เป็นหนึ่งแควหลักของแม่น้ำซุนดาเหนือ ร่วมสมัยกับแม่น้ำแม่กลอง และแม่น้ำพุมดวง-ตาปี ต่อมาในต้นยุคโฮโลซีน น้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นจากการละลายของน้ำแข็ง ทำให้ขอบเขตแม่น้ำเจ้าพระยาหายไป เนื่องจากพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาเกือบทั้งหมดจมอยู่ใต้อ่าวไทยโบราณ จากนั้นจึงเริ่มการทับถมของดินตะกอนใหม่อีกครั้ง เป็นแม่น้ำเจ้าพระยาในปัจจุบัน

อ้างอิงข้อมูลจาก : http://th.wikipedia.org/wiki

การทำฝนเทียม

การทำฝนเทียม
การทำฝนเทียม อาศัยเทคนิคจากการศึกษาค้นคว้าว่ากรรมวิธีของฝนในธรรมชาติเกิดขึ้นได้อย่างไร ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงได้พยายามเลียนแบบธรรมชาติโดยทำจากเมฆซึ่งมีลักษณะ พอเหมาะที่จะเกิดฝนได้ การทำฝนเทียมมักทำใน 2 สภาวะ คือ การทำฝนเทียมในเขตอบอุ่นซึ่งมีเมฆที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า องศาเซลเซียส และ การทำฝนเทียมในเขตร้อนซึ่งมีอุณหภูมิสูงกว่า 0
การทำฝนเทียมแบบแรก เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการทำฝนเมฆเย็น จะทำเมื่อยอดเมฆสูงเฉลี่ย 21,500 ฟุต หรือประมาณ 6,450 เมตรมีอุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส เป็นเมฆคิวมูลัส จะเกิดเฉพาะช่วงต้นและปลายฤดูฝน การทำฝนเทียมในเมฆชนิดนี้ใช้โปรยหรือหว่านด้วยเม็ดน้ำแข็งแห้งเล็ก ๆ (dry ice) หรือ ซิลเวอร์ไอโอไดด์ (silver iodide) จะก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่เร่งเร้าให้เม็ดน้ำเย็นยิ่งยวดเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นผลึกหรือเกล็ดน้ำแข็งทันทีแล้วคายความร้อนแฝงออกมา พลังงานความร้อนดังกล่าวทำให้มวลอากาศภายในก้อนเมฆลอยตัวขึ้นเบื้องบนมีผลทำให้เกิดแรงดึงดูดใต้ฐานเมฆ ซึ่งจะดูดเอาความชื้นเข้ามาหล่อเลี้ยงทำให้ก้อนเมฆเจริญเติบโตและมีปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันแรงยกตัวจะหอบเอาเกล็ดน้ำแข็งเล็ก ๆ ขึ้นไปข้างบนทำให้เกล็ดน้ำแข็งเหล่านี้มีขนาดใหญ่ขึ้นพอมีน้ำหนักมากกว่าที่แรงยกตัวจะพยุงไว้ได้ก็ตกลงมา จนผ่านชั้นอากาศที่อุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อย ๆ ก้อนน้ำแข็งก็จะละลายกลายเป็นน้ำฝน
ส่วนการทำฝนเทียมแบบที่สอง เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการทำฝนเมฆอุ่น มีลักษณะของเมฆก่อตัวขึ้นเป็นแนวตั้งฉากเป็นเมฆคิวมูลัส (Cumulus) ซึ่งสังเกตได้จากกลุ่มเมฆจะมีลักษณะฐานเมฆสีดำ ก้อนเมฆก่อตัวขึ้นคล้ายดอกกะหล่ำปลีอยู่ที่ระดับความสูงของฐานเมฆไม่เกิน 16,000 ฟุต มีอุณหภูมิภายในก้อนเมฆสูงกว่า 0 องศาเซลเซียส การทำฝนเทียมในเมฆชนิดนี้จะใช้สารเคมีเพื่อกระตุ้นให้เกิดกระบวนการชนและรวมตัวกันของเม็ดเมฆขนาดต่าง ๆ

คลิกดูข้อมูลการทำฝนเทียมโดยละเอียด ได้ที่นี่

ชนิดบัว การปลูก การขยายพันธุ์ และการดูแลรักษา

บัวเป็นไม้ดอกที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน ก่อนสมัยพุทธกาลตามพุทธประวัติ พบว่าบัวมีส่วนเกี่ยวข้องตั้งแต่เมื่อพระพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน พุทธศาสนิกชนจึงมีการใช้ดอกบัวเพื่อการบูชาพระ ตลอดทั้งในพิธีการทางศาสนาพุทธ บัวจึงเปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ ของความบริสุทธิ์และคุณงามความดี ในพุทธ - ศาสนา พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบระดับสติปัญญาของมนุษย์กับการเจริญเติบโตของบัวเป็น 4 ระดับ คือ บัวในโคลนตม บัวใต้น้ำ บัวปิ่มน้ำ และบัวเหนือน้ำ ซึ่งเปรียบเสมือนว่าดอกบัวเป็นดอกไม้ที่มีคุณค่าสูงสุด นอกจากนั้นการเขียนวรรณคดีหรือบทนิพนธ์ต่างๆ ยังได้มีการนำดอกบัวสายพันธุ์ต่างๆ มาเรียบเรียงลงในเอกสารอีกด้วย ในปัจจุบันมีเกษตรกรและผู้สนใจจำนวนมากมีการปลูกบัวเพื่อเป็นอาชีพมากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากบัวนั้นมีความหลากหลายในการใช้ประโยชน์ในส่วนต่างๆ ของบัวได้มากมาย ดังนั้นจึงมีการปลูกบัวเพื่อตอบสนองความต้องการต่างๆ เช่น การปลูกเพื่อตัดดอก เก็บไหล เก็บผัก เก็บเมล็ดจำหน่าย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการ ของตลาดในแต่ละท้องถิ่นตลอดจนบัวบางสายพันธุ์ยังนำมาปลูกในกระถาง เพื่อเป็นไม้ประดับ

ชนิดสายพันธุ์ บัว คลิกที่นี่

การขยายพันธุ์บัว มีวิธีการดังนี้
การแยกเหง้า บัวในเขตอบอุ่นและเขตหนาวที่มีลำต้นเป็นแบบเหง้าสามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยวิธีแยกหน่อหรือต้นอ่อนจากเหง้าต้นแม่ไปปลูก โดยตัดแยกเหง้าที่มีหน่อหรือต้นอ่อนยาว 5-8 ซม. ตัดรากออกให้หมด ถ้าเป็นต้นอ่อนสามารถนำไปปลูกยังที่ต้องการได้เลย ถ้าเป็นหน่อให้นำไปปลูกในกระถางขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20-25 ซม. ฝังดินให้ลึกประมาณ 3-5 ซม. กดดินให้แน่น เทน้ำให้ท่วมประมาณ 8-10 ซม. ดินที่ใช้ควรเป็นดินเหนียวเพื่อช่วยจับเหง้าไม้ให้ลอยขึ้นเหนือผิวน้ำ เมื่อหน่อเจริญเติบโตเป็นต้นใหม่จึงย้ายไปปลูกยังที่ต้องการการแยกไหล บัวในเขตร้อนโดยเฉพาะบัวหลวงจะสร้างไหลจากหัวหรือเหง้าของต้นแม่แล้วไปงอกเป็นต้นใหม่ สามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยวิธีตัดเอาไหลที่มีหน่อหรือปลิดต้นใหม่จากไหลไปปลูก การตัดไหลที่มีหน่อไปปลูกควรตัดให้มีขนาดความยาวประมาณ 2-3 ข้อ และมีตาประมาณ 3 ตา นำไหลที่ตัดฝังดินให้ลึก 3-5 ซม. กดดินให้แน่นต้นอ่อนจะขึ้นจากตาและเจริญเป็นต้นใหม่ต่อไป

การแยกต้นอ่อนที่เกิดจากใบ บัวในเขตร้อนสกุลบัวสายบางชนิดจะแตกต้นอ่อนบนใบบริเวณกลางใบตรงจุดที่ต่อกับก้านใบหรือขั้วใบ สามารถขยายพันธุ์ได้โดยตัดใบที่มีต้นอ่อนโดยตัดให้มีก้านใบติดอยู่ 5-8 ซม. เสียบก้านลงในภาชนะที่ใช้ปลูกให้ขั้วใบที่มีต้นอ่อนติดกับผิวดิน ใช้อิฐหรือหินทับแผ่นใบไม่ให้ลอย เติมน้ำให้ท่วมยอด 6-10 ซม. ประมาณ 2 สัปดาห์ ต้นอ่อนจะแตกรากยึดติดกับผิวดินและเจริญเติบโตต่อไปการเพาะเมล็ด การขยายพันธุ์วิธีนี้ไม่ค่อยนิยมปฏิบัติเนื่องจากยุ่งยากและต้องใช้เวลานาน ยกเว้นบัวกระด้งที่ต้องขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดเท่านั้น นอกจากนี้การเพาะเมล็ดมักนิยมใช้กับเมล็ดบัวที่ได้จากการผสมพันธุ์บัวขึ้นมาใหม่แล้วเก็บเอาเมล็ดนำมาเพาะ เพื่อสะดวกในการคัดแยกพันธุ์ วิธีการเพาะเมล็ดมีดังนี้ เตรียมดินเหนียวที่ไม่มีรากพืช ใส่ลงในภาชนะปากกว้างที่มีความลึกประมาณ 25-30 ซม. โดยไส่ดินให้สูงอย่างน้อย 10 ซม. ปรับแต่งหน้าดินให้เรียบและแน่น เติมน้ำให้สูงจากหน้าดินประมาณ 7-8 ซม. นำเมล็ดที่จะใช้เพาะโรยกระจายบนผิวน้ำให้ทั่ว เมล็ดจะค่อยๆ จมลงใต้น้ำ สำหรับเมล็ดบัวหลวงและบัวกระด้งเมล็ดมีขนาดใหญ่ ให้กดเมล็ดให้จมลงไปในดินแล้วเติมน้ำให้สูงจากผิวดินประมาณ 15 ซม. นำภาชนะที่เพาะไปไว้ในที่มีแดดรำไร ประมาณ 1 เดือน เมล็ดจะเริ่มงอกเป็นต้นอ่อน เมื่อต้นอ่อนแข็งแรงและมีใบประมาณ 2-3 ใบ จึงแยกนำไปปลูกยังที่ต้องการ

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

พาณิชย์ชงครม.ขอระบายข้าวโพด 6.6แสนตัน

พาณิชย์ชงครม.ขอระบายข้าวโพด6.6แสนตันพาณิชย์ชงครม.ระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 6.6 แสนตัน ด้วยการจำหน่ายต่างประเทศ แบบ "จีทูจี" หรือ "จีทูพี" พร้อมขอยกเลิกคกก.ระบายข้าวโพด
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่ากระทรวงพาณิชย์ได้เสนอให้ที่ประชุม ครม.วันพุธที่ 13 พ.ค. พิจารณาแนวทางการระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่รับจำนำในปี 51/52 จำนวน 6.6 แสนตัน ด้วยการจำหน่ายแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล หรือจีทูจี หรือรัฐบาลกับเอกชนต่างประเทศ หรือจีทูพี ว่าต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญปี 50 มาตรา 190 หรือไม่ นอกจากนี้ ขอให้ยกเลิกคณะกรรมการระบายข้าวโพดที่ประกอบด้วยกรมการค้าภายใน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และองค์การคลังสินค้า (อคส.) ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 28 ต.ค.51 โดยให้คงคณะกรรมการนโยบายอาหาร คณะกรรมการกำกับการรับจำนำโครงการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 51/52 คณะกรรมการ บูรณาการการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตร คณะกรรมการตรวจสอบโครงการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 51/52 (เพิ่มเติม) และโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 51/52 และคณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไว้ก่อน นอกจากนี้เสนอให้ที่ประชุมรับทราบผลการรับจำนำตามโครงการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 51/52 ซึ่งสิ้นสุดเมื่อวันที่ 31 มี.ค.52 รวมทั้งสิ้น 1.11 ล้านตัน และรับทราบการอนุมัติการจำหน่ายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี51/52 เพื่อส่งออกต่างประเทศโดยวิธีการประมูลให้กับผู้ซื้อในประเทศ ปริมาณ 449,342.856 ตัน มูลค่า 2,041.052 ล้านบาท ตามมติคณะอนุกรรมการด้านการตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เมื่อวันที่ 31 มี.ค.52ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์ชี้แจงว่าวัตถุประสงค์ของโครงการรับจำนำ เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อนจากราคาสินค้าตกต่ำ และเมื่อรับจำนำเข้ามาเป็นจำนวนมากจึงเป็นภาระของรัฐบาลที่ต้องแบกรับดังนั้นเพื่อเป็นการลดภาระในการเก็บรักษาดังกล่าว รัฐจึงมีความจำเป็นต้องเร่งระบายสินค้าออกไป และในช่วงเวลาที่ผ่านมา หน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับจำนำจะมีหน้าที่ในการระบายสินค้าครบวงจรของการรับจำนำ เช่น สินค้าข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ผู้รับผิดชอบคือกระทรวงพาณิชย์ สินค้าผลไม้ผู้รับผิดชอบจะเป็นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์


แหล่งข่าว
สำนักงานพาณิชย์จังหวัดพิษณุโลก 12 พ.ค. 2552
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

ฟ้าทลายโจร สมุนไพรกู้วิกฤตโรคระบาดในไก่

ฟ้าทลายโจร สมุนไพรกู้วิกฤตโรคระบาดในไก่
ในปัจจุบันมีการแพร่ระบาดของโรคที่เกี่ยวกับไก่รุนแรงและสร้างความเสียหายให้กับกลุ่มผู้เลี้ยงไก่ เป็นอันมาก เกษตรกรบางรายสงสัยว่า ทำวัคซีนแล้วแต่ไก่ก็ยังตายหมดทั้งฟาร์ม ซึ่งกระแสข่าวที่ผ่านมาทำให้คนไทยกลัวที่จะรับประทานไก่ เพราะกลัวโรคระบาดนั้นจะติดต่อมาสู่คน ส่วนใหญ่การรักษาโรคไก่มักจะใช้กลุ่มยาปฏิชีวนะ โดยเฉพาะกลุ่มของไก่พื้นเมือง ซึ่งอาจมีผลให้เกิดสารตกค้างถึงมนุษย์ และการรักษาดังกล่าวก็อาจทำให้ไก่ที่เหลืออยู่เป็นพาหะของโรคต่อไปหรือส่งผลให้เชื้อโรคที่ยังอยู่มีพัฒนาการต่อก็ได้ ซึ่งล้วนเป็นปัญหาหรือก่อให้เกิดความหวาดกลัวต่อไป

การแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยพืชสมุนไพรเป็นอีกลู่ทางหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจและมีการสนับสนุน เช่น การใช้สมุนไพรฟ้าทลายโจร (Andrographis paniculata Wall. Ex Nees) เป็นพืชสมุนไพรทางการแพทย์ มีส่วนประกอบทางเคมีเป็นสารพวก diterpene lactones ออกฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคระบบทางเดินอาหาร เช่น Esherichia coli และ Salmonella typhi ยับยั้งเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคทางเดินหายใจ เช่น Staphylococcus aureus และมีสรรพคุณแก้ไข้ แก้หวัด แก้โรคบิด โรคท้องร่วง และแก้แผลบวมอักเสบ ซึ่งสรรพคุณที่ดีเหล่านี้น่าจะเป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้นในด้านการป้องกันรักษาโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับไก่ เช่น โรคอุจจาระขาว ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรียพวก Salmonella pullorum และในปัจจุบัน (ปี 2547) ได้มีโรคระบาดที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ระบุว่าเป็นโรคนิวคาสเซิล สายพันธุ์ใหม่ ซึ่งสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดนครสวรรค์ระบุว่า เกิดจากโรค แซลโมเนลลา (Salmonellasis) หรือโรคขี้ขาว และโรคอหิวาห์เป็ดไก่ที่ชื่อ Fowl Cholera ผู้รายงานได้มีโอกาสเข้าศึกษาระดับปริญญาโทที่คณะเกษตรศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร และทำการศึกษาหาระดับที่เหมาะสมและศึกษาผลของสมุนไพรฟ้าทลายโจร (Andrographis paniculata) ในสูตรอาหารไก่ ต่อประสิทธิภาพการผลิตและลดปัญหาโรคอุจจาระขาวในไก่พื้นเมือง โดยใช้ไก่พื้นเมืองคละเพศ อายุแรกเกิด จำนวน 160 ตัว

โดยมี ดร.โอภาส พิมพา และ รศ.เดช วัฒนชัยยิ่งเจริญ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ภายใต้ทุนสนับสนุนการวิจัยของมหาวิทยาลัยนเรศวร ในการทดลองเก็บข้อมูลเป็นระยะเวลา 14 สัปดาห์ ซึ่งในช่วงการทดลองนั้นไก่จะถูกสุ่มแบ่งออกเป็นกลุ่ม จำนวน 16 กลุ่ม กลุ่มละ 10 ตัว แต่ละกลุ่มจะถูกสุ่มแบบอิสระ ให้ได้รับอาหารทดลองที่มีสมุนไพรฟ้าทลายโจรในส่วนประกอบมากขึ้น 4 ระดับ คือ 0% 0.5% 1.0% และ 1.5% ในสูตรอาหารตามลำดับ ไก่แต่ละกลุ่มที่ได้รับอาหารในแต่ละสูตรจะให้กินได้อย่างเต็มที่ เพื่อวัดปริมาณการกินได้ ในแต่ละคอกจะมีน้ำสะอาดให้กินตลอดเวลา ในช่วงสัปดาห์ที่ 8 ครึ่งหนึ่งของไก่ที่ได้รับอาหารทดลองแต่ละสูตร จะถูกสุ่มให้ได้รับเชื้อ Salmonella pullorum ซึ่งเชื้อจะถูกฉีดเข้าปากสู่ทางเดินอาหารโดยตรง วัดอัตราการเจริญเติบโต ประสิทธิภาพการใช้อาหาร ศึกษาอาการเครียดและเหงาซึม ตลอดทั้งวัดคุณภาพซากเมื่อเลี้ยงครบ 14 สัปดาห์ ซึ่งไก่จะมีอายุ 16 สัปดาห์ จากการศึกษาพบว่าระดับของฟ้าทลายโจรที่เหมาะสมในสูตรอาหารคือ 1.0% เพราะมีผลให้ไก่กินอาหารได้มากที่สุด และมีแนวโน้มให้ไก่มีน้ำหนักตัวสูงที่สุด ตลอดทั้งอัตราการเจริญเติบโตสูงที่สุดด้วย นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันผลเสียอันเกิดจากเชื้อ Salmonella pullorum ที่มีต่อไก่ เช่น อาการเครียด ส่งผลต่อการกินอาหารที่ลดลงและอัตราการเจริญเติบโตที่ลดลง ซึ่งระดับฟ้าทลายโจร 1.0% ในสูตรอาหารยังสามารถทำให้อัตราการแลกเนื้อดีที่สุดในช่วงที่ไก่ได้รับเชื้อ Salmonella pullorum สมุนไพรฟ้าทลายโจรในสูตรอาหารจะช่วยทำให้เปอร์เซ็นต์ซากดีขึ้น และมีผลให้เปอร์เซ็นต์เนื้อหน้าอกมากด้วย ซึ่งในไก่พื้นเมืองสามารถย่อยสมุนไพรได้ดีกว่าไก่พันธุ์เนื้อในระบบฟาร์ม หลังจากเสร็จสิ้นการศึกษาในเดือนพฤศจิกายน 2546 จึงได้ใช้อาหารที่มีระดับฟ้าทลายโจรในสูตรอาหารระดับ 1% เรื่อยมา และหลังจากนั้นไก่ในฟาร์มที่เลี้ยงไม่มีอาการป่วยแสดงให้เห็น รวมทั้งในช่วงที่มีการระบาดที่รุนแรงและเฉียบพลันยังได้นำฟ้าทลายโจรน้ำหนักแห้งจำนวน 10 กรัม ผสมน้ำ 2.5 ลิตร ให้ไก่กินทุกวันอย่างสม่ำเสมอ พบว่าสามารถลดอัตราการตายของไก่พื้นเมืองลูกผสม 5 สายพันธุ์ ลงได้ (มีอัตราการตายประมาณ 7%) ทั้งนี้ไก่ทุกตัวต้องได้รับการทำวัคซีนตรงตามโปรแกรมที่กรมปศุสัตว์กำหนด จึงได้ทดสอบง่ายๆ ในช่วงที่ 2 โดยเริ่มจากแบ่งไก่ออกเป็น 16 คอก คอกละ 6 ตัว ซึ่งไก่ทุกตัวมีสุขภาพที่สมบูรณ์ แข็งแรง หลังจากนั้น ได้นำไก่ชาวบ้านที่ป่วยเป็นโรคระบาดดังกล่าว มาใส่รวมไว้ในคอกที่ 2 ให้น้ำเปล่าตามปกติ หลังจากนั้นสังเกตอาการป่วย ปรากฏว่าไก่คอกที่ 2 มีอาการป่วยอย่างเห็นได้ชัดเจน จึงเริ่มให้ฟ้าทลายโจรน้ำหนักแห้ง 10 กรัม ผสมน้ำ 2.5 ลิตร ให้ไก่กินตั้งแต่คอกที่ 5-16 ปรากฏว่า ไก่คอกที่ 1-4 ตายหมด คอกที่ 5-16 ไม่ตายและยังมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง หลังจากนั้นอีก 1 สัปดาห์ หยุดให้ฟ้าทลายโจร และนำน้ำฉีดลงที่พื้นคอกให้เปียกแฉะ (พื้นคอกปูด้วยแกลบ) สังเกตอาการของไก่ที่เหลือพบว่ามีไก่ป่วยแต่อาการไม่รุนแรง จึงให้ฟ้าทลายโจรอีกครั้งหนึ่งผสมลงในน้ำอัตรา 10 กรัม ต่อน้ำ 2.5 ลิตร พบว่าสามารถลดอัตราการตายของไก่พื้นเมืองลูกผสม 5 สายพันธุ์ ลงได้ ซึ่งถ้าหากได้มีการทดลอง วิจัยในระดับที่ละเอียดและชัดเจน อาจจะมีประโยชน์ต่อวงการปศุสัตว์ได้มากขึ้น ดังนั้น การให้อาหารที่มีพืชสมุนไพรฟ้าทลายโจร 1.0% ในสูตรอาหารจึงยังคงสร้างกำไรและลดอัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคในฟาร์มได้ และหากเกษตรกรมีการปลูกพืชสมุนไพรฟ้าทลายโจรใช้เองจะทำให้การเลี้ยงไก่ได้กำไรมากยิ่งขึ้น เพราะสมุนไพรฟ้าทลายโจรมีราคาแพง หากจะจัดซื้อมาผสมอาหารไก่เอง ซึ่งมีราคาประมาณ 200 บาท ต่อกิโลกรัม

หากมีข้อสงสัยหรือข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่
สถาบันการศึกษาคือ คณะเกษตรศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร หรือผู้ทำการศึกษาตามที่อยู่นี้
นายนพรัตน์ ทองนุ้ย 5/3 หมู่ 2 ตำบลท้อแท้ อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก 65160
โทรศัพท์ (01) 953-2019

การทำสับปะรดนอกฤดู


ชนิดของสารที่ใช้บังคับให้สับปะรดออกดอก
วิธีการใช้ดังนี้
1.การใช้ถ่านแก๊สหรือแคลเซียมคาร์ไบด์ เป็นสารเคมีที่ชาวสวนนิยมใช้กันมากเพราะหาง่ายและราคาไม่แพง มีวิธีการใช้ด้วยกัน 3 วิธีคือวิธีที่ 1 ป่นถ่านแก๊สให้เป็นเม็ดขนาดเท่าปลายก้อย แล้วหยอดลงไปที่ยอดสับปะรด จากนั้นจึงหยอดน้ำตามลงไปประมาณ 50 ซี.ซี. (ประมาณ ¼ กระป๋องนม) หรืออาจจะดัดแปลงโดยป่นถ่านแก๊สป่นประมาณ 0.5-1.0 กรัมต่อต้น (ใน 1 ไร่จะใช้ถ่านแก๊สประมาณ 1-2 กิโลกรัม) วิธีนี้มักจะทำให้ช่วงหลังฝนตก เพราะมีความสะดวกและประสิทธิภาพการใช้ถ่ายแก๊สจะดีกว่าช่วงอื่น อย่างไรก็ตามวิธีที่ 1 นี้ มีข้อเสียคือสิ้นเปลืองเวลาและแรงงานมากเพราะต้องมีคนใส่ถ่านแก๊สคนหนึ่ง และหยอดน้ำตามอีกคนหนึ่งวิธีที่ 2 ใช้ถ่านแก๊สละลายน้ำ โดยใช้ถ่านแก๊สประมาณ 1 กิโลกรัม ผสมน้ำ 1-2 ปี๊บ แล้วหยอดลงไปที่ยอดสับปะรดต้นละ 50 ซี.ซี. (1 กระป๋องนม หยอดได้ 4 ต้น) วิธีนี้เหมาะมากถ้าทำในช่วงฤดูแล้ง เพราะสามารถทำได้รวดเร็วแต่วิธีนี้มีข้อเสียอยู่บ้างคือ สิ้นเปลืองถ่านแก๊สมากวิธีที่ 3 ใช้ถ่านแก๊สใส่ลงไปในกรวย แล้วเทน้ำตามลงไปเพื่อให้น้ำไหลผ่านถ่านแก๊สในกรวย ลงไปยังยอดสับปะรด วิธีนี้ไม่ค่อยปฏิบัติกันเนื่องจากให้ผลไม่แน่นอนและไม่สะดวกในการปฏิบัติหลังจากหยอดถ่านแก๊สไปแล้วประมาณ 45-50 วัน จะสังเกตเห็นดอกสีแดง ๆ โผล่ขึ้นมาจากยอดสับปะรด นับจากนั้นไปอีก 4-5 เดือน จะสามารถตัดสับปะรดแก่ไปขายหรือนำไปบริโภคได้ ซึ่งผลสับปะรดที่เก็บเกี่ยวนี้จะแก่ก่อนกำหนดประมาณ 2 เดือน ดังนั้นถ้านำไปขายก็จะได้ราคาที่สูงกว่าปกติ***การใช้ถ่านแก๊สบังคับให้สับปะรดออกดอกก่อนฤดูกาลนี้มีผู้ปลูกบางรายลงความเห็นว่า การใช้ถ่านแก๊สนอกจากจะสิ้นเปลืองแรงงานหรือต้นทุนในการผลิตสูงขึ้นแล้ว ยังมีผลทำให้การเกิดหน่อของสับปะรดมีน้อยกว่าปกติหรืออาจจะไม่มีหน่อเลย และที่เห็นได้ชัดเจนก็คือขนาดของผลเล็กลง ทำให้น้ำหนักผลสับปะรดเฉลี่ยต่อไร่ลดลงด้วย นอกจากนี้แล้วสับปะรดที่ใช้ถ่านแก๊สนี้จะเก็บผลไว้ได้ไม่นานคือเพียง 3-5 วันเท่านั้น หากเก็บไว้นานกว่านี้สับปะรดจะไส้แตก เนื้อจะเน่า รสชาติจะเปลี่ยนไป และหากมีการใช้ถ่านแก๊สมากเกินไปจะทำให้ยอดสับปะรดเหี่ยว ชะงักการเจริญเติบโตทำให้ต้นตายได้ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเพียงการตั้งข้อสังเกตและลงความเห็นของเกษตรกรบางรายเท่านั้น และคิดว่าปัญหาเหล่านี้คงจะหมดไป ถ้าหากนักวิชาการเกษตรหันมาให้ความสนใจและหาวิธีป้องกันหรือวิธีปฏิบัติที่เหมาะสมต่อไป
2. การใช้สารเอทธิฟอน เป็นสารเคมีชนิดหนึ่งซึ่งมีคุณสมบัติในการปล่อยก๊าซเอทธิลีนออกมาโดยตรง เมื่อเอทธิฟอนเข้าไปในเนื้อเยื่อสับปะรดจะแตกตัวปล่อยเอทธิลีนออกมาเอทธิลีนจะเป็นตัวชักนำให้เกิดการสร้างตาดอกขึ้น ที่จำหน่ายในท้องตลาดมีอยู่ 2 ชนิด คือ1. ชนิดเข้มข้น มีสารออกฤทธิ์ 39.5% บรรจุในถุงพลาสติกขนาด 1 แกลลอนโดยใช้อัตรา 17-30 ซี.ซี. ผสมน้ำ 1 ปี๊บและปุ๋ยยูเรีย 350-500 กรัมให้หยอดต้นละ 60 ซี.ซี. (กระป๋องนมละ 4 ต้น)2. ชนิดที่ผสมให้เจือจางแล้วบรรจุในขวดพลาสติกขนาด 1 ลิตร มีชื่อการค้าว่า อีเทรล ใช้ในอัตรา 60-120 ซี.ซี. ผสมน้ำ 1 ปี๊บและปุ๋ยยูเรีย 350-500 กรัมให้หยอดต้นละ 60 ซี.ซี. (กระป๋องนมละ 4 ต้น)***ปริมาณการใช้เอทธิฟอนมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับฤดูกาลและขนาดของต้นสับปะรดด้วยกล่าวคือ ถ้าหยอดในช่วงเดือนมิถุนายนถึงตุลาคมหรือต้นสมบูรณ์มากให้ใช้ในปริมาณมากขึ้น หรือหากจำเป็นต้องหยอดยอดในตอนกลางคืน ช่วงที่มีอากาศร้อนอบอ้าวให้ใช้ปริมาณเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว
3. ฮอร์โมน เอ็น.เอ.เอ. หรือที่มีขายกันตามท้องตลาดในชื่อการค้าว่า แพลนโนฟอกซ์ใช้ในอัตรา 50 ซี.ซี. ผสมน้ำ 200 ลิตร และปุ๋ยยูเรีย 4-5 กิโลกรัม หยอดไปที่ยอดสับปะรด อัตรา 60 ซี.ซีต่อต้น สามารถบังคับให้สับปะรดออกดอกก่อนฤดูได้เช่นกันข้อควรคำนึงในการบังคับให้สับปะรดออกดอกนอกฤดูกาล : 1. การบังคับให้สับปะรดออกดอก ควรทำในตอนเช้าหรือตอนเย็นหรือในเวลากลางคืน ซึ่งจะทำให้เปอร์เซ็นต์การออกดอกมีมากขึ้น2. เตรียมสารและผสมสารไว้ในปริมาณที่พอเหมาะเพื่อใช้ในครั้งหนึ่ง ๆ นั้นควรผสมสารไว้นานเกิน 2 ชั่วโมง เพราะจะทำให้ตัวยาบางชนิดเสื่อมคุณภาพ3. ถ้าหากฝนตกในขณะที่ทำการหยอดสารหรือภายใน 6 ชั่วโมง หลังจากหยอดสาร จะต้องหยอดสารใหม่
4. ควรทำการบังคับหรือหยอดสารซ้ำอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่หยอดครั้งแรกไปแล้ว 7 วัน ทั้งนี้เพื่อให้การหยอดสารได้ผลแน่นอนขึ้น
5. หลังจากหยอดสารไปแล้ว ถ้าสับปะรดต้นไหนเป็นโรคโคนเน่าหรือไส้เน่าก็ให้ใช้ยา อาลีเอท หยอดหรือฉีดพ่นที่ต้นในอัตรา 30 ซี.ซี. ต่อต้นซึ่งสามารถรักษาโรคนี้ได้ดี
6. ถ้าต้องการเร่งให้ผลสับปะรดโต ควรใช้ฮอร์โมนแพลนโนฟิกซ์อัตรา 50 ซี.ซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร ผสมปุ๋ยเกล็ดสูตร 20-20-20 จำนวน 50 กรัม ราดหรือฉีดพ่นให้ทั่วทั้งผล ในขณะที่ผลมีขนาดเท่ากำปั้น และกระทำทุก ๆ 30-45 วัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มขนาดและน้ำหนักของผล ทำให้เก็บเกี่ยวได้เร็วขึ้น
7. กรณีที่ต้องการยืดอายุการเก็บเกี่ยวออกไปอีก ก็ให้ฉีดพ่นฮอร์โมนแพลนโนฟิกซ์ อัตรา 100 ซี.ซี. ผสมน้ำ 200 ลิตร และผสมปุ๋ยเกล็ดสูตร 20-20-20 จำนวน 500 กรัม ฉีดพ่นให้ทั่วผลสับปะรดก่อนที่ผลสับปะรดจะแก่หรือสุกประมาณ 15 วัน ทำให้ผู้ปลูกทยอยเก็บเกี่ยวผลสับปะรดได้ทันทั้งไร่ ทั้งยังช่วยเพิ่มขนาดและปรับปรุงคุณภาพของสับปะรดที่เก็บเกี่ยวล่าช้านี้ให้ดียิ่งขึ้น

อ้างอิงข้อมูลจาก
ส่งเสริมการเกษตร สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ.เชียงใหม่
โทร.053-873938-9
http://www.it.mju.ac.th/dbresearch/organize/extention/book-fruit/fruit043.htm

วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

สูตรสมุนไพรป้องกันโรคข้าวและกำจัดศัตรูพืช

สูตรสมุนไพรสำหรับป้องกันโรคข้าวที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา โรคใบจุดสีส้ม ขอบใบไหม้ และสามารถป้องกันกำจัดศัตรูพืชได้

วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำ มีดังนี้
สมุนไพรสูตรทรัพย์มั่นคง (สูตร 1)
วัสดุที่ใช้

1. เปลือกมังคุดแห้งบดละเอียด 1 ขีด
2. แอลกกอฮอร์ 70 % 450 ซีซี
วิธีทำ
นำทั้งสองอย่าง ผสมกัน หมัก 7 วันคนทุกวัน

สมุนไพรสูตรทรัพย์มั่นคง ( สูตร 2 )
วัสดุที่ใช้
1. หัวขมิ้นชัน อายุ 3-5 เดือน 1 ขีด
2. แอลกกอฮอร์ 70 % 450 ซีซี
3. น้ำยาล้างจาน 10 ซีซี
วิธีทำ
บดขมิ้นขดให้ละเอียด ผสมแอลกอฮอร์และน้ำยาล้างจาน หมักรวมกัน คนทุกวันให้ครบ 7 วัน
แล้วนำทั้ง 2 สูตร มาใส่รวมกันแยกน้ำออกจากกากแล้วนำไปใช้ได้

อัตราที่ใช้
ใช้อัตรา 20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ใช้ฉีดพ่นทุก 7-10 วัน ใช้ป้องกันโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ลักษณะใบจุดสีส้ม ขอบใบไหม้ ในข้าวและป้องกันกำจัดศัตรูพืชได้

อ้างอิงที่มาของสูตร
นายบุญช่วย มั่นคง
อยู่ที่เลขที่ 87/1 หมู่ที่ 5 ถนนวัดโพธิ์ศรีสำโรง-นิคมฯ ตำบลสามเรือน
อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย
โทร.055-682934 , 086-2139026

การทำน้อยหน่านอกฤดู

การทำน้อยหน่าให้ออกนอกฤดู
การทำให้น้อยหน่าทิ้งใบและออกดอกก่อนปกติ วิธีนี้จะทำได้กับสวนน้อยหน่าที่มีน้ำใช้รดเพียงพอเท่านั้น และต้นน้อยหน่าต้องอายุไม่ต่ำกว่า 5 ปี จะเริ่มทำช่วงปลายเดือนสิงหาคม ด้วยการกำจัดวัชพืชในสวนออกก่อน โดยใช้สารเคมีพวกพาราควอทจากนั้นให้ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 500 กรัม/ต้น สาเหตุที่จะต้องใส่ปุ๋ยก่อนเพราะเมื่อใบน้อยหน่าร่วงลงมาคลุมอยู่ที่โคนต้น เวลาหว่านปุ๋ยลงไป ปุ๋ยก็ไปกองอยู่บนใบที่ร่วงลงมา เมื่อรดน้ำก็ไหลออกไปหมดไม่ได้ลงในทรงพุ่มตามที่ต้องการ หลังจากนั้นจะฉีดพ่นสารเคมีพวกพาราควอท เช่น กรัมม็อกโซน อัตรา 50 cc./น้ำ 20 ลิตร โดยฉีดพ่นใบให้ทั่วทั้งต้นใบจะร่วงภายใน 5-10 วัน โดยการฉีดพ่นสารเคมีจะต้องไม่ฉีดในขณะที่กิ่งแตกเป็นกิ่งอ่อน
การดูแลรักษา
ประมาณเดือนกันยายนหลังพ่นสารเคมีใบจะร่วงภายใน 15 วัน จะเริ่มแตกใบอ่อนพร้อมช่อดอกในช่วงนี้ฉีดพ่นสารเคมีพวกมาลาไธออน 30 cc. กำมะถันผง 1 ช้อนโต๊ะ สารจับใบและน้ำ 20 ลิตร เพื่อป้องกันเพลี้ยไฟ ไรแดง แมลงหวี่ขาวเข้าทำลายดอก ระยะนี้ต้องให้น้ำตลอด จนเริ่มติดผลอ่อนอายุ 35 วัน และยังมีช่อดอกผสมในช่ออยู่ ระยะติดผลอ่อน ประมาณเดือนตุลาคม เพื่อเป็นการเร่งการเจริญเติบโตของผลน้อยหน่าจะใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ สูตร 8-24-24 หรือสูตร 9-24-24 หรือสูตร 13-13-21 สูตรใดก็ได้ ในอัตรา 500 กรัม/ต้น ซึ่งควรแบ่งใส่ 3 ครั้ง ห่างกันประมาณ 15 วัน ระยะผลอ่อนถึงการเจริญเติบโต ใช้เวลาประมาณ 30 วัน ประมาณพฤศจิกายน ต้องดูแลรักษา ตรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ โดยการพ่นสารเคมีเพื่อป้องกันกำจัดเพลี้ยแป้ง หนอนเจาะผลซึ่งจะระบาดในช่วงนี้ ใช้สารเคมีประเภทเมทิลมาลาไธออน 30 cc./ฮอร์โมน 15 cc. และสารจับใบ 15 cc. ทุก 7-15 วัน/ครั้ง ระยะผลแก่ ประมาณเดือนธันวาคม ระยะนี้ผลที่ติดรุ่นแรกสามารถเก็บเกี่ยวเพื่อจำหน่ายได้

อ้างอิงสูตรการทำน้อยหน่านอกฤดู โดย นายสุนทร แย้มขยาย สวนน้ำค้าง
อยู่ที่บ้านเลขที่ 128 หมู่ 2 บ้านแก่งกุลาเหนือ ตำบลแก่งโสภา อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก
โทร.089-6386392

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

การปลูกผักในปลอดภัยจากสารพิษ

การทำน้ำสกัดชีวภาพ เป็นการใช้พืชหรือสัตว์มาหมักตามกรรมวิธี แล้วจะได้ของเหลวที่มีอิทรีย์สารย่อยสลายอยู่ในของเหลวนั้น ซึ่งเป็นอาหารของพืชที่มีคุณค่าสูง เหมาะที่จะนำมาใช้ในการปลูกพืช
ขอขอบคุณ ที่มาจากเว็ป มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
http://www.clipmass.com/movie/133107404474807

วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร

นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร เรียกันสั้นๆว่า นกเจ้าฟ้า หรือนกตาพอง เป็นนกที่อยู่ในตระกูลนกนางแอ่น คุณกิตติ ทองลงยา แห่งสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ประยุกต์แห่งประเทศไทย เป็นผู้พบนกชนิดนี้ที่บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อ ๒๘ มกราคม พ.ศ ๒๕๑๑ เป็นนกที่หายากมาก และเป็นนกที่พบเฉพาะแหล่ง (Endemic Species) คือพบที่บึงบอนะเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์เพียงแห่งเดียวเท่านั้น มีลักษณะคล้าย นกนางแอ่น ทั่วๆไป (Swallows) แต่มีขนาดใหญ่กว่า มีลำตัวยาวประมาณ ๑๕ ซม. มีขนสีดำเป็นมันเหลือบน้ำเงินปนเขียว มีแต้มสีขาวตรงโคนหาง ตาใหญ่ เห็นตาขาวชัดเจน ขอบตาเป็นวงสีขาว นัยน์ตาและม่านตาขาวอมชมพูเรื่อๆ ปากสีเหลือง มีลักษณะแบนกว้างกว่าปากของนกนางแอ่นมาก บริเวณสะโพกมีแถบสีขาวขนาดใหญ่เด่นชัด หางสั้นกลมมน และในขณะที่นกนางแอ่นมีขนหางยาวแฉกลึกนั้น นกเจ้าฟ้าฯ จะมีหางสั้นกลมมน และนกที่โตเต็มที่แล้วจะมีแกนหางคู่กลางเส้นเล็กๆ ๒ เส้น ยี่นยาวออกมาประมาณ ๘.๕ เซนติเมตร คล้ายหางนกหางบ่วง แต่ปลายบ่วงมีขนาดเล็กมาก มีความกว้างประมาณ ๒ มิลลิเมตร ยาวประมาณ ๓๕ มิลลิเมตร ใต้คอสีน้ำตาลดำ หน้าผากมีขนสีดำคล้ายกำมะหยี่ ขาและแข้งเป็นสีชา นกที่โตเต็มวัยจะมีขนหางคู่กลางยื่นยาวออกมาประมาณ ๑๐ ซม. มีลักษณะคล้ายบ่วงแต่ปลายบ่วงเล็กมาก อาศัยอยู่เป็นฝูงตามทุ่งหญ้า ชอบบินโฉบจับแมลงกินเป็นอาหาร
จุดเด่นที่เห็นได้ชัดคือ นกเจ้าฟ้าฯ จะมีขอบตาสีขาวเป็นวงรอบตาเห็นได้ชัดเจน ทำให้เห็นเหมืนว่าตาของมันพองโปนขึ้นมา ชาวบ้านเรียกนกชนิดนี้ว่า "นกตาพอง"
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๐ นักวิทยาศาสตร์จากสภาวิจัยวิทยาศาสตร์ประยุกต์ ได้ทำการดักจับนกนางแอ่นจำนวนมากจากบึงบรเพ็ด เพื่อทำการศึกษาเรื่องการอพยพย้ายถิ่นของสัตว์ต่างๆ ในเอเซียอาคเนย์ และในระหว่างเดือน ม.ค. – ก.พ. ๒๕๑๑ คุณกิตติ ทองลงยา เป็นผู้ค้นพบนกตัวหนึ่งมีรูปร่างลักษณะแตกต่างจากนกนางแอ่นอื่นๆ นกตัวนี้มีขนาดใหญ่กว่านกนางแอ่นทั่วๆไปมาก ขนเป็นสีดำคล้ำ ตาขาวและใหญ่ ปากและสะโพกสีขาว หางกลมมน ขนหางคู่กลางมีแกนยื่นออกมาอย่างชัดเจน
ในการตรวจสอบขั้นต้นยังไม่สามารถที่จะจำแนกนกชนิดนี้เข้ากับนกสกุลใดๆของประเทศไทยได้ ดังนั้น คุณกิตติ ทองลงยา จึงได้ทำการเก็บตัวอย่างของตัวเบียน คือ เห็บ เหา และไร ของนก ส่งไปให้ สถาบันสมิทโซเนียน และ บริทิชมิวเซียม ช่วยตรวจและวิเคราะห์หาชนิดของนกดังกล่าว ผลก็คือมันมีเหาชนิดเดียวกับนกนางแอ่นเทียมสกุล Pseudochelidon ซึ่งพบในแถบซึ่งพบในแถบลุ่มน้ำคองโก อาฟริกา
จากนั้นได้ทำการเปรียบเทียบลักษณะอวัยวะต่างๆภายในของนกตัวนี้กับตัวอย่างนกนางแอ่นเทียมคองโก(Pseudochelidoninal eurystominal) จึงลงความเห็นว่านกตัวนี้จะต้องเป็นนกในสกุล Pseudochelidon อย่างแน่นอน แต่เนื่องจากว่านกในสกุลนี้เคยมีเพียงชนิดเดียวคือ นกนางแอ่นเทียมคองโก ดังนั้นนกที่ค้นพบที่บึงบรเพ็ดนี้ นักปักษีวิทยาทั่วโลกจึงยอมรับว่าเป็นนกสกุล Pseudochelidon ชนิดใหม่ของโลก
นักปักษีวิทยาของเมืองไทยต่างมีความเห็นว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนราชสุดา (พระยศขณะนั้น) ทรงเป็นผู้ที่สนพระทัยในเรื่องธรรมชาติวิทยาของเมืองไทยเป็นอย่างยิ่ง จึงขอพระราชทานนามมาตั้งชื่อนกชนิดนี้ว่า “นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร“ หรือ White-eyed River Martin (Pseudochelidon sirintarae)
นกเจ้าฟ้าฯ เป็นนกเฉพาะถิ่น (endermic species ) ที่พบได้เพียงแห่งเดียวในโลก คือที่บึงบรเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ เป็นนกโบราณที่ปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปได้น้อย จึงมีเหลืออยู่ในธรรมชาติน้อยมาก มีรายงานการค้นพบที่สามารถยืนยันได้เพียง ๑๐ ตัวเท่านั้น และจากรายงานการพบเห็นครั้งหลังสุด ในปี พ.ศ.๒๕๒๓ จนกระทั้งผ่านมาถึงปัจจุบัน นับเป็นเวลาร่วม ๒๐ ปีมาแล้ว ที่เราไม่ได้เห็นนกเจ้าฟ้าฯ อีกเลย และจากการจัดให้มีการประชุมของสำนักนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง สถานภาพทรัพยากรชีวภาพของประเทศไทย โดยกลุ่มนักชีววิทยาในประเทศไทย เมื่อเดือน พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๙ นั้น นกเจ้าฟ้าฯ ได้ถูกจัดให้อยู่ในสถานภาพใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง
ลักษณะภายในของนก โดยเฉพาะหลอดคอ ปรากฏ ว่าไม่เหมือนกับนกนางแอ่นทั่วๆ ไป แต่คล้ายกับนกนางแอ่นในสกุล Pseudochelidon ที่พบในแอฟริกาดังกล่าวแล้ว และมีเพียงชนิดเดียวคือ Pseudochelidon eurystomina (eurystomina แปลว่า ปากกว้าง) ยิ่งกว่านั้นรูปร่างลักษณะภายนอกต่างๆ โดยเฉพาะสีสันของลำตัวก็คล้ายกัน กล่าวคือ ตัวสีค่อนข้างดำ แต่ลักษณะอื่นๆ เช่น สีของปาก สีของตา และลักษณะของหางผิดกันโดยสิ้นเชิง กล่าวคือ นกนางแอ่นเทียมคองโกนั้น ตัวดำ ตาแดง แข้งแดง ขนหางมน และขนหางคู่กลางยื่นยาวออกมาคล้ายเข็มหมุดแต่สั้นมาก โผล่พ้นปลายหางเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นกที่พบในบึงบอระเพ็ด ตัวดำเหลือบเล็กน้อย โคนขนหางมีแถบสีขาว ตา และวงรอบเบ้าตาขาวสะอาด ปากเหลืองอมเขียว หางคล้ายกัน แต่ขนหางคู่กลาง จะมีแกนยื่นยาวออกไปมาก ปากก็กว้างกว่านกนางแอ่นเทียมคองโกอย่างน้อย ๒ เท่า
จากลักษณะดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร เป็นคนละชนิดกันกับนกนางแอ่นเทียมคองโก อย่างแน่นอน แต่สำหรับการจัดไว้ในสกุลเดียวกันหรือไม่นั้น นักปักษีวิทยาหลายท่านมีความเห็นแตกต่างกันเป็น ๒ พวก โดยพวกหนึ่งคิดว่า ลักษณะที่มีทั้งหมดนี้พอที่จะตั้งสกุลใหม่ได้ โดยเสนอให้ใช้ชื่อสกุลใหม่ว่า Thaiornis (แปลว่า นกที่พบในประเทศไทย หรือนกของประเทศไทย) ซึ่งจัดอยู่ในวงศ์ย่อยเดียวกันกับ นกนางแอ่นเทียมคองโกคือ Pseudochelidoninae และ แตกต่างจากนกนางแอ่นทั่วๆ ไปที่จัดอยู่ในวงศ์ย่อย Hirundininae และทั้งหมดอยู่ในวงศ์เดียวกันคือ Hirundinidae แต่อีกพวกหนึ่งมีความเห็นว่า ควรจัดอยู่ในสกุลเดียวกับนกนางแอ่นเทียมคองโกไปก่อน และหลังจากที่มีการศึกษาชีววิทยาตลอดจนอุปนิสัย และการดำรงชีวิตของนกชนิดนี้ อย่างละเอียดแล้วค่อยพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ด้วยเหตุผล หลายประการดังกล่าวแล้ว จึงจัดนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรไว้ในสกุล Pseudochelidon เช่นเดียวกับนกนางแอ่นเทียมคองโก จนกว่าจะมีการศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม และอาจเปลี่ยนแปลงทีหลังได้สำหรับชนิด หรือ species นั้นจัดเป็นชนิดใหม่ (new species) โดยครั้งแรกมีความตั้งใจตั้งชื่อนกชนิดใหม่ตามพระปรมาภิไธยใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อถวายเป็นพระเกียรติแด่พระองค์ท่าน ในการที่พระองค์ ท่านทรงมีพระราชอุตสาหะอย่างแรงกล้า ที่จะปลูกฝังเยาวชนไทยให้มีความรู้ความชำนาญ ด้านวิทยาศาสตร์ ดังจะเห็นได้จากการที่ พระองค์ท่านทรงสนพระทัยในกิจกรรมด้าน วิทยาศาสตร์แขนงต่างๆ อยู่เสมอๆ แต่หลังจากที่ได้ปรึกษาหารือกับผู้ใหญ่หลายๆ คน ต่างก็มีความเห็นว่า ไม่ควรนำพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือ แม้แต่ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ ฯ (พระยศในขณะนั้น) มาปะปนในเรื่องนี้ ดังนั้นจึงได้มีการเสนอขอใช้พระนามพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรฯ (พระยศในขณะนั้น) เนื่องจาก เจ้าฟ้าหญิงฯ ได้ทรงสนพระทัยในเรื่องธรรมชาติวิทยามาโดยตลอด จึงได้นำความ กราบบังคมทูลขอพระราชทาน นามของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงสิรินธรฯ เพื่อตั้งชื่อนกใหม่ชนิดนี้ ซึ่งก็ทรงมีพระบรมราชานุญาต ดังนั้นนกชนิดใหม่นี้ จึงได้ชื่อทางด้านวิทยาศาสตร์ว่า Pseudochelidon sirintarae ตามพระนามของ เจ้าฟ้าหญิงสิรินธรฯ สำหรับชื่อสามัญนั้นเรียกตามลักษณะที่ปรากฏคือ White-eyed River Martin โดยชื่อ River Martin เป็นชื่อนกนางแอ่นที่ใช้กับชื่อนกนางแอ่นเทียมคองโก ส่วน White-eyed เพราะตามีสีขาว ส่วนชื่อภาษาไทยนั้นก็เรียกว่า “นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร” อย่างไรก็ตามชาวบ้านแถบบึงบอระเพ็ด เคยเรียกชื่อนกชนิดนี้ว่า “นกตาพอง” ด้วยเหตุที่ วงรอบเบ้าตาสีขาว ดูคล้ายๆ กับนัยน์ตาโปนออกมาจากเบ้าตา แต่เป็นการเรียกเฉพาะในหมู่ผู้คนที่เคยจับหรือเห็นนกชนิดนี้ และเรียกหลังจากที่จับได้ในช่วงที่มีการว่าจ้างให้จับเท่านั้น ก่อนหน้านี้ไม่มีใครรู้จัก และมักเรียกรวมๆ กันกับนกที่มีลักษณะคล้ายๆ กันนี้ว่า “นกนางแอ่น”นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร เป็นนกที่ค่อนข้างเชื่องไม่ปราดเปรียว มักจะเกาะนิ่งอยู่กับพื้นดิน ซึ่งแตกต่างไปจากนกนางแอ่นอื่นๆ ที่บินปราดเปรียว ส่งเสียงร้องดัง เคลื่อนไหวอยู่เสมอ และจับเกาะบนกิ่งไม้ หรือต้นอ้อ ต้นหญ้า บริเวณเกาะ หรือบริเวณพืชพ้นน้ำ ไม่ทราบ ชีววิทยาอื่นๆ ของนกเจ้าฟ้าฯ โดยเฉพาะการทำรังวางไข่ ซึ่งนกนางแอ่นเทียมคองโกนั้น ทำรังโดยการขุดพื้นทราย บนเกาะกลางแม่น้ำในหน้าร้อน ขุดลึกลงไป ๑-๒ เมตร วางไข่ ๒-๓ ฟองใน ๑ รู และอพยพหากินไปตามลำน้ำเป็นระยะทางราว 800 กิโลเมตร นกเจ้าฟ้าฯ จะทำรังอย่างนกนางแอ่นเทียมคองโกหรือไม่ ฤดูการผสมพันธุ์จะเป็นเมื่อใด (ตามข้อมูล ควรจะเป็นฤดูร้อนหรือหลังจากเดือนกุมภาพันธ์อย่างแน่นอน เพราะในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ มีเพียงตัวเมีย ตัวเดียวที่แสดงให้เห็นเกี่ยวกับอวัยวะเพศ ตัวอื่นๆ อวัยวะเพศยังไม่เจริญแต่อย่างใด) จะอพยพหากินตามลำน้ำ ซึ่งน่าจะเป็น แม่น้ำยม หรือแม่น้ำน่าน ยังเป็นที่สงสัยอยู่ ทั้งนี้เพราะหลังจากที่ได้ตีพิมพ์เกี่ยวกับการค้นพบและ ตั้งชื่อนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรในหนังสือ Thai National Scientific Papers, Fauna Series No. 1 ของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ประยุกต์ (ชื่อในขณะนั้น) เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๑๑ แล้ว ปรากฏว่ามีนักปักษีวิทยาจำนวนมากทั้งจากต่างประเทศและในประเทศ สนใจและเฝ้าติดตาม ผลรายงานความก้าวหน้าตลอดมา จนกระทั่งคุณกิตติ ทองลงยา ผู้ซึ่งพบ บรรยาย และตั้งชื่อนกชนิดนี้ ได้ถึงแก่กรรมในวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๗ ด้วยโรคหัวใจ และจนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังไม่มีผลงานใดๆ ไม่ว่าจะเป็นของใคร เกี่ยวกับนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรออกมาอีกเลย ปัจจุบัน IUCN และสำนักงานนโยบาย และแผนสิ่งแวดล้อม (๒๕๔๐) จัดนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร เป็นสัตว์ป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์อย่างยิ่ง (Critically endangered) ซึ่งอาจจะสูญพันธุ์ไปแล้วจากประเทศไทยหรือจากโลก เพราะ หลายปีที่ผ่านมาไม่เคยมีรายงานการพบนกชนิดนี้อีกเลย นอกจากนี้พระราชบัญญัติ คุ้มครองและสงวนสัตว์ป่า พ.ศ.๒๕๓๕ ได้จัดให้เป็นสัตว์ป่าสงวนอีกด้วยนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร เป็นนกที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในด้านการศึกษาความสัมพันธ์ของนกนางแอ่น เพราะนกเจ้าฟ้าซึ่งถูกจัดให้อยู่ในวงศ์ย่อยนกนางแอ่นเทียม (PSEUDOCHELIDONINAE) นั้น มีลักษณะใกล้เคียงที่สุด กับนกนางแอ่นเทียมคองโก (Pseudochelidon eurystomina) ซึ่งเป็นนกอีกเพียงชนิดเดียว ที่ถูกจัดรวมอยู่ในวงศ์ย่อยนี้เป็นนกที่พบได้ตามลำธารในประเทศซาอีร์ ในตอนกลางของแอฟริกาตะวันตก ซึ่งแหล่งที่พบนกทั้งสองชนิดนี้มีระยะทางห่างกันถึง ๑๐,๐๐๐ กิโลเมตรเนื่องจากนกเจ้าฟ้าที่พบมีประชากรน้อยมาก หลังจากคุณกิตติฯ ได้พบนกชนิดนี้แล้ว มีผู้คาดว่าเขาได้เห็นนกเจ้าฟ้าอีกเพียงสองครั้งเท่านั้น คือในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ และ เดือนมกราคม ๒๕๒๓ ครั้งละ ๒-๔ ตัว โอกาสที่จะพบนกสองชนิดนี้อีกครั้งจึงน้อยมาก ดังนั้น ในปี พ.ศ.๒๕๓๙ นักปักษีวิทยาของไทย จึงได้จัดให้นกเจ้าฟ้าเป็นสัตว์ป่าที่อยู่ในสถานภาพที่ใกล้จะสูญพันธุ์อย่างยิ่งอย่างไรก็ตามปัจจุบันนี้ยังไม่มีใครสามรถยืนยันได้ว่า ยังมีนกเจ้าฟ้าฯ หลงเหลืออยู่ หรือว่าได้สูญพันธุ์หมดสิ้นไปจากโลกนี้แล้ว เพราะหลังจากการพบครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๓ จนกระทั่ง ปี พ.ศ. ๒๕๔๖ นับเป็นเวลาล่วงเลยมาถึง ๒๐ กว่าปีแล้ว ที่เราไม่ได้รับรายงานการพบเห็นนกเจ้าฟ้าฯ อีกเลย จึงเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ถึงเวลาแล้วหรือยังที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ทำการค้นหาและศึกษานกเจ้าฟ้าฯ กันอย่างอย่างจริงจัง เพื่อที่จะได้อนุรักษ์นกที่หายากที่สุดในโลก ชนิดนี้ไว้เป็นสมบัติของชาติและของโลกสืบไป
ข้อมูลอ้างอิง
• ดัดแปลงจาก รศ.โอภาส ขอบเขต.1998, Bird of Bung Boraphet. Office of Environmental Policy and Planning. • สถานีวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม
• อนุสาร อ.ส.ท. ๒๔,๗ (ก.พ. ๒๗ ) ๓๖

ปลาเสือตอ


ปลาเสือตอเสือตอลายใหญ่ เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Datnioides pulcher เป็นปลาที่อยู่ในวงศ์ปลาเสือตอ (Lobotidae) มีรูปร่างแบนข้าง ปากยาวสามารถยืดได้ ครีบก้นเล็กมีก้านครีบแข็ง 3 ชิ้น ครีบหลังแบ่งเป็น 2 ตอน ตอนแรกเป็นก้านครีบแข็งมีเงี่ยง 13 ชิ้น ตอนหลังเป็นครีบอ่อน พื้นลำตัวสีเหลืองน้ำตาลจนถึงสีส้มอมดำ มีแถบสีดำคาดขวางลำตัวในแนวเฉียงรวมทั้งสิ้นประมาณ 5 - 6 แถบ ส่วนหัวมีลักษณะลาดเอียงมาก เกล็ดเป็นแบบสาก (Ctenoid) มีลักษณะนิสัยอยู่เป็นฝูงเล็กๆ ใต้น้ำ โดยมักจะอาศัยบริเวณใกล้ตอไม้หรือโพรงหินด้วยการอยู่ลอยตัวอยู่นิ่งๆ หัวทิ่มลงเล็กน้อย หากินในเวลากลางคืน โดยกินอาหารแบบฉกงับ (Snap) อาหารได้แก่ สัตว์น้ำขนาดเล็กและแมลงต่างๆ มีขนาดลำตัวโตสุดประมาณ 40 ซ.ม. หนักถึง 7 ก.ก.
อาศัยอยู่ตามแม่น้ำสายใหญ่ในภาคกลางของประเทศ เช่น แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำท่าจีน ในภาคอีสานเช่น แม่น้ำโขงและสาขา ต่างประเทศพบที่ อินเดีย พม่า กัมพูชาเป็นต้น โดยเฉพาะทื่บึงบอระเพ็ดเป็นที่ขึ้นชื่อมากเพราะมีรสชาติอร่อย กล่าวกันว่า ใครไปถึงบึงบอระเพ็ดแล้ว ไม่ได้กินเสือตอ ถือว่าไปไม่ถึง แต่ปัจจุบัน ไม่มีรายงานการพบมานานแล้ว จนเชื่อว่าสูญพันธุ์จากธรรมชาติแล้วในประเทศไทย (Extinct)เป็นปลาที่ได้รับความนิยมมากจากนักเลี้ยงปลาสวยงาม เพราะมีสีสันและลวดลายที่สวยงาม เมื่อเวลาล่าเหยื่อจะกางครีบทุกครีบ ก่อนจะฉก แม้จะมีราคาที่แพง เพราะหายาก ปลาที่มีขายในตลาดปลาสวยงามทุกวันนี้ นำเข้าจากประเทศกัมพูชา แม้ปัจจุบัน มีผู้เพาะพันธุ์ได้แล้วจากการผสมเทียม แต่ยังได้ผลไม่แน่นอนและไม่คุ้มค่ากับการลงทุนปลาเสือตอ พฤติกรรมในการกินอาหาร มักจะกินเฉพาะอาหารที่มีชีวิตหรือเคลื่อนไหวได้เท่านั้น น้อยรายที่จะสามารถฝึกปลาจนสามารถกินอาหารเม็ดหรืออาหารตายได้
มีชื่อเรียกในภาษาอีสานว่า "ลาด"
ปลาเสือตอจัดเป็นปลาสวยงามของไทยชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เพราะสามารถทำรายได้ให้กับผู้ประกอบอาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นสัตว์ที่หายาก ใกล้สูญพันธุ์และเนื้อมีรสชาติดี เดิมทีประชาชนนิยมบริโภคเป็นอาหาร ซึ่งเคยเป็นเมนูที่ขึ้นชื่อของจังหวัดนครสวรรค์ แต่ในปัจจุบันประชาชนนิยมนำไปเลี้ยงเป็นปลาสวยงามที่เลี้ยงไว้เพื่อความเพลิดเพลินมากกว่าที่จะนำไปบริโภค เพราะว่ามีราคาแพง อัตราการจับปลาเสือตอจากธรรมชาติมีจำนวนลดลงเป็นอย่างมากในปัจจุบันเมื่อเทียบกับในอดีต ซึ่งเชื่อว่าสาเหตุที่ทำให้ปลาเสือตอกำลังสูญพันธุ์ไป นั่นก็คือ ความเสื่อมสภาพลงของสิ่งแวดล้อมที่อยู่อาศัยหรือแหล่งแพร่ขยายพันธุ์ การทำการประมงเกินกำลังการผลิต การทำการประมงที่ผิด พ.ร.บ. เช่น การใช้ยาเบื่อเมา การใช้วัตถุระเบิด การใช้กระแสไฟฟ้าช๊อตจับปลา การลักลอบจับปลาในฤดูวางไข่ สาเหตุส่วนหนึ่งนั้นมาจากการขาดจิตสำนึกในการอนุรักษ์ของมนุษย์ และเนื่องจากปลาเสือตอกำลังอยู่ในภาวะที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ กฎหมายจึงได้กำหนดให้ปลาเสือตอจัดอยู่ในบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครองชนิดที่เพาะพันธุ์ได้ ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 โดยบัญญัติไว้ในกฎกระทรวงฉบับที่ 10 (2540) ลงวันที่ 7 ตุลาคม 2540 ดังนั้นผู้ที่ต้องการมีปลาเสือตอไว้ในครอบครองจะต้องทำการขอุอนญาตเป็นหนังสือจากอธิบดีกรมประมง ตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 และจะต้องปฏิบัติตามกฎและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในใบอนุญาต ผู้ใดมีปลาเสือตอไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจะมีความผิด โทษปรับไม่เกิน 40,000 บาทและจำคุกไม่เกิน 4 ปีหรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้เพื่อการอนุรักษ์และสนับสนุนให้มีการเพาะเลี้ยงปลาเสือตอเพื่อมิให้สูญหายไปจากสารบบปลาสวยงามของไทยและให้มีอยู่คู่กับเราตลอดไป
1. ทำความรู้จักกับปลาเสือตอ
1.1 การเรียกชื่อชื่อวิทยาศาสตร์ : Datnioides (Coius) microlepisชื่อไทย : ปลาเสือตอ ปลาลาดชื่ออังกฤษ : Tiger fish, Siamess tiger fish, Gold datnoid
1.2 แหล่งกำเนิดและถิ่นที่อยู่อาศัย ปลาเสือตอเป็นสัตว์น้ำจืดซึ่งมีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศไทย ชอบอาศัยอยู่ตามหนอง บึง หรือลุ่มน้ำต่างๆ พบมากบริเวณภาคกลาง ในแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำน่าน และเคยพบชุกชุมมากในบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์และแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ในปัจจุบันพบว่ามีปริมาณลดน้อยลงมาก ส่วนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบในแม่น้ำโขง แม่น้ำมูล และแม่น้ำชี นอกจากนี้ยังพบปลาเสือตอได้ทั่วไปในประเทศทางแถบร้อน เช่น อินโดนีเซีย พม่า เวียดนาม และเขมร
1.3 รูปร่างลักษณะโดยทั่วไป ปลาเสือตอเป็นปลาใน Family Lobotidae ลำตัวมีสีเหลืองอมน้ำตาล สีน้ำตาลอ่อน สีเหลืองอ่อนหรือสีครีม ตัวโตเต็มที่จะมีขนาดประมาณ 40-50 cm ลักษณะที่โดเด่นเฉพาะตัวได้แก่ มีเส้นลายดำพาดขวางประมาณ 6-7 แถบ ลักษณะของลำตัวค่อนข้างลึกแบนกว้าง ส่วนหัวลาดลงเป็นปลายแหลม ปากกว้างยาวและสามารถยืดหดได้มาก (Protactile Jaw) มีครีบ 7 ครีบ ครีบหลังแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นหนามแข็ง 12 อันส่วนหลังเป็นก้านครีบอ่อน ครีบอีก 1 คู่โปร่งใส ครีบท้อง 1 คู่อยู่ใต้ครีบอก ครีบก้นเป็นหนามแข็ง 3 อัน และส่วนที่เหลือเป็นก้านครีบอ่อน ครีบหางมีลักษณะกลม ขนาดลำตัวที่พบในธรรมชาติประมาณ 10-16 นิ้ว ปลาเสือตอที่พบในประเทศไทย มีลายบนลำตัวแตกต่างกัน แบ่งเป็น 2 สายพันธุ์
1.3.1 ปลาเสือตอลายใหญ่ ( Coius microlepis) ลายพาดขวางสีดำมีขนาดใหญ่ พื้นที่ของเส้นดำกลางลำตัวจะกว้างพอๆกับส่วนของสีพื้นซึ่งเป็นสีอ่อน และยังมีความแตกต่างกับปลาเสือตอลายเล็กตรงที่ลายพาดสีดำจะพาดผ่านแผ่นปิดเหงือกไปยังโคนครีบหูโดยจะอ้อมรอบลำคอทางด้านล่างของลำตัว นอกจากนี้ความลึกของลำตัวยังมากกว่าอีกด้วย ในปัจจุบันคาดว่าปลาเสือตอลายใหญ่สูญหายไปจากแม่น้ำในประเทศไทยแล้ว ส่วนปลาที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันส่วนใหญ่มาจากการนำเข้าจากต่าประเทศเกือบทั้งหมด เช่น กัมพูชา และเวียดนาม
1.3.2 ปลาเสือตอลายเล็ก (Coius undecimradiatus) เป็นสายพันธุ์ที่มีลายดำพาดขวางแต่ละเส้นมีขนาดเล็ก โดยเล็กกว่าชนิดลายใหญ่ประมาณครึ่งหนึ่งหรือมากกว่านั้น และลายพาดสีดำดังกล่าวจะพาดผ่านแผ่นปิดเหงือกแล้วไปสิ้นสุดที่โคนครีบหู แต่ไม่อ้อมรอบลำคอ ปลาเสือตอลายเล็กนี้จะเป็นชนิดที่พบได้โดยทั่วไปในประเทศไทย
1.4 อุปนิสัยของปลา เสือตอสาเหตุที่ได้ชื่อว่า "ปลาเสือตอ" เนื่องจากเป็นปลาที่ชอบอาศัยหลบอยู่ตามตอไม้ใต้น้ำ หรือก้อนหินใต้น้ำ แต่จะไม่ชอบที่ที่มีพรรณไม้น้ำขึ้นเยอะๆ มักจะชอบแฝงตัวอยู่อย่างเงียบๆคอยซุ่มจับเหยื่อ ตามธรรมชาติปลาเสือตอชอบหากินอยู่ในระดับน้ำลึกประมาณ 2-3 เมตร ปลาเสือตอจัดเป็นปลาประเภทกินเนื้อ ดังนั้นเหยื่อของมันจึงเป็นพวกปลาเล็ก และกุ้ง การกินของมันทำโดยการพุ่งเข้าฮุบเหยื่ออย่างว่องไว ชอบหากินในเวลากลางคืน ขณะที่กินอาหารนั้นตัวปลาจะมีสีสดใส และมักจะกางหนามของครีบหลังตั้งขึ้น ปลาเสือตอจะมีประสาทตาที่ไว คอยระมัดระวังตัวเองอยู่เสมอ มีนิสัยรักความสงบ เลี้ยงเชื่อง ไม่ก้าวร้าวถ้าไม่ถูกรังแก ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง สามารถเลี้ยงรวมกันได้หลายๆตัว หรืออาจเลี้ยงรวมกับปลาชนิดอื่นๆที่มีขนาดใกล้เคียงกันก็ได้ แต่ปกติแล้วปลาชนิดนี้จะมีนิสัยไม่ชอบอยู่รวมกับปลาชนิดอื่น
1.5 เทคนิคและวิธีการเลี้ยงปลาเสือตอ ปลาเสือตอถือว่าได้รับความนิยมติดอันดับต้นๆของปลาสวยงามที่นักเลี้ยงปลาให้ความสนใจ เนื่องจากมีความสวยงามน่ารักโดดเด่น เลี้ยงง่าย ผู้เลี้ยงปลาสวยงามมักนิยมเลี้ยงปลาเสือตอรวมกับปลาอะโรวาน่า โดยเชื่อกันว่าปลาอะโรวาน่าจะเปรียบเสมือนมังกรที่แหวกว่ายอยู่บนท้องฟ้า และปลาเสือตอเปรียบเสมือนเสือที่คอยคุ้มครองโลกมนุษย์ การเลี้ยงส่วนใหญ่จะเป็นในรูปแบบการเลี้ยงในตู้กระจก ขนาดของตู้กระจก ถ้าเลี้ยงเฉพาะปลาเสือตอไม่จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่มากนัก เพราะปลาเสือตอเป็นปลาที่ชอบหลบอยู่ตามซอกหินหรือกองไม้ ไม่ชอบออกมาว่ายน้ำตลอดเวลา แต่ก็ต้องดูความเหมาะสมระหว่างจำนวนปลาและขนาดของตู้ ไม่ควรให้แคบจนเกินไป ควรจัดตู้ให้มีที่หลบซ่อน เช่น จัดให้ถ้ำ หรือกองไม้ใต้น้ำ และควรปลูกไม้น้ำให้มีความหนาแน่นพอสมควร น้ำที่ใช้เลี้ยงควรเป็นน้ำเก่า มีความเป็นกรดอ่อนๆ หรือ pH ไม่ควรเกิน 7 อุณหภูมิน้ำอยู่ในช่วง 22-30 องศาเซลเซียส จัดระบบกรองน้ำให้ดี ส่วนการให้อาหาร เนื่องจากปลาเสือตอมีนิสัยชอบกินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร ดังนั้นปลาขนาดเล็ก ควรให้ลูกน้ำหรืออาร์ทีเมีย แต่ถ้าเป็นปลาขนาดกลางหรือขนาดใหญ่ให้กุ้งฝอยหรือลูกปลาที่เพาะได้ใหม่ๆ ปลาที่เลี้ยงจนคุ้นเคยแล้วเราสามารถฝึกให้กินอาหารพวก เนื้อกุ้ง เนื้อปลา หรือเนื้อสัตว์อื่นๆได้โดยต้องทำการฝึกแบบค่อยเป็นค่อยไป
2. การเพาะเลี้ยงและอนุบาลปลาเสือตอ การเพาะเลี้ยงปลาเสือตอในขั้นตอนแรกนั้นจะต้องทำการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ปลา ซึ่งก่อนอื่นต้องทำการแยกเพศปลาให้ได้เสียก่อน การสังเกตดูเพศโดยดูลักษณะรูปร่างภายนอกนั้น ถ้าเป็นเพศผู้จะมีลักษณะลำตัวเรียวยาวและเล็กกว่า ขนาดตัวโตเต็มวัยจะมีน้ำหนักประมาณ 300-400 กรัม ซึ่งสามารถนำมาเป็นพ่อพันธุ์ได้ ส่วนเพศเมียลำตัวจะมีลักษณะป้อมหรือกลม วัยเจริญพันธุ์จะมีน้ำหนักประมาณ 800 กรัม ปลาเพศเมียเมื่อพร้อมที่จะผสมพันธุ์ จะสังเกตเห็นท่อนำไข่ยื่นออกมาอย่างชัดเจน การปล่อยพ่อแม่พันธุ์ให้ผสมพันธุ์กัน อาจจะปล่อยในอัตราส่วนปลาเพศผู้มากกว่าปลาเพศเมีย หรือในอัตราส่วน 1: 1 ก็ได้ การเพาะเลี้ยงอาจทำในบ่อซีเมนต์ ปลาเสือตอส่วนใหญ่จะผสมพันธุ์ในเวลากลางคืน เมื่อปลาเสือตอผสมพันธุ์และวางไข่แล้ว จะเห็นไข่ของปลาเสือตอ ซึ่งมีลักษณะเป็นไข่ประเภทลอยน้ำ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.8 มม. ไข่ที่ได้รับการผสมจะมีสีค่อนข้างใสอมเหลืองเล็กน้อย มีหยดน้ำมันอยู่ภายในและมีลักษณะเป็นประกายสะท้อนแสง ไข่จะลอยอยู่ในระดับผิวน้ำถึงกลางน้ำ ส่วนไข่ที่ไม่ได้รับการผสม จะมีลักษณะค่อนข้างขาวขุ่นทึบแสง และลอยอยู่ระดับผิวน้ำ ควรแยกไข่ที่ไม่ได้รับการผสมออก ไข่ที่ได้รับการผสมจะฟักออกเป็นตัวภายในระยะเวลา 15-17 ชั่วโมง ในอุณหภูมิน้ำประมาณ 28-29 องศาเซียลเซียส ลักษณะของลูกปลาที่ฟักออกใหม่ๆจะใสและเรียวยาว ถุงอาหารจะยุบหมดภายในระยะเวลา 2-3 วัน อาหารของลูกปลาในระยะนี้ได้แก่ พวกอาหารมีชีวิต เช่น โรติเฟอร์ ไรแดง หรือพวกไข่แดงต้มสุกบดละเอียด เมื่อลูกปลาอายุประมาณ 3 อาทิตย์หรือเลี้ยงอนุบาลจนลูกปลามีขนาดประมาณ 3 cm เปลี่ยนอาหารให้เป็นพวกลูกปลาที่เพาะได้ใหม่ๆ เช่น ลูกปลาตะเพียน ส่วนพ่อแม่พันธุ์นั้นหลังจากที่ผสมพันธุ์และวางไข่แล้ว ควรเอาไปพักฟื้น แยกเอาไปไว้ในบ่ออื่น เพราะปลายังอ่อนเพลียอยู่ เมื่อเลี้ยงปลาเสือตอจนได้ขนาดตามต้องการแล้ว สามารถนำไปจำหน่าย แยกเลี้ยงเพื่อความสวยงามหรือจะนำไปเลี้ยงเพื่อเพาะขยายพันธุ์ได้ตามต้องการ
3. โรคที่พบในปลาเสือตอและการรักษาปลาเสือตอที่เป็นโรค จะแสดงความไม่สบายและเจ็บป่วยออกมาทางสีของลำตัว คือปลาจะมีสีคล้ำขึ้น โรคที่พบในปลาเสือตอส่วนใหญ่เกิดจากปรสิตที่มีอยู่แล้วในปลาเสือตอที่มาจากธรรมชาติ ได้แก่ โรคฝีตามลำตัว ซึ่งจะมีลักษณะเป็นตุ่มบวมใหญ่ออกจากผิวหนังตามลำตัว การรักษาควรแยกปลาที่ป่วยออกจากตู้มาเลี้ยงในตู้อื่น แล้วให้อากาศอย่างเพียงพอ ระบบกรองน้ำต้องดี ให้อดอาหารประมาณ 2-3 วัน แล้วใช้ยาปฏิชีวนะผสมกับอาหารให้กินวันละครั้งประมาณ 3 ครั้ง ส่วนอีกโรคที่พบบ่อยก็คือ โรคจุดขาว ซึ่งเกิดจากเชื้ออิ๊ค การรักษาทำได้โดยใช้ยารักษาโรคอิ๊ค ซึ่งมีขายอยู่ทั่วไปในท้องตลาดและควรปฏิบัติตามวิธีใช้อย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ยังมีโรคครีบเปื่อย หางเปื่อย และตาฝ้าขาว ซึ่งทั้งหมดเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย อาการของโรคคือ ครีบหางเปื่อยหลุดหายไป บางทีจะเห็นเป็นเชื้อราขึ้นเป็นสีขาว การรักษาทำโดย ใช้ยาเหลือง (Acriflavine) 1 ช้อนชาละลายในน้ำ 1 ลิตร สามารถเก็บในขวดสีชาเป็นstock ใช้ได้หลายครั้ง โดยตักมา 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำ 5 ลิตร แช่ปลาไว้ทุกวันจนปลาหาย และจะต้องเปลี่ยนน้ำทุกวัน
4. โอกาสทางการค้าและตลาดปลาเสือตอ ปลาเสือตอกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่นักเลี้ยงปลาสวยงาม ชนิดปลาเสือตอที่นิยมเลี้ยงและมีราคาสูงที่สุดในปัจจุบัน ได้แก่ ปลาเสือตอลายใหญ่และลายคู่ ขนาด 1-3 นิ้วราคาโดยทั่วไปอยู่ที่ 300-2,000 บาท ส่วน 5-12 นิ้ว ราคาอยู่ที่ 1,000-12,000 บาท ทั้งนี้ราคาก็ขึ้นอยู่กับเกรดของปลาด้วย ในบ้านเราสามารถหาซื้อได้ที่ร้านจำหน่ายปลาสวยงามแถวตลาดซันเดย์ ตลาดสวนจตุจักร ฯลฯ ทุกวันนี้ปลาทั้งสองชนิด ต้องนำเข้ามาจากประเทศเขมรโดยพ่อค้าคนกลาง ซึ่งเป็นปลาที่มาจากแหล่งน้ำธรรมชาติคือ ทะเลสาบเขมร นอกจากนี้ยังมีการนำเข้ามาจากประเทศเวียดนาม ปลาเสือตอที่นำเข้ามามีทุกขนาด ซึ่งนอกจากจะขายในประเทศแล้วยังส่งเป็นสินค้าส่งออกขายต่างประเทศอีกด้วย โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น จะมีออร์เดอร์สั่งปลาชนิดนี้อยู่ตลอด แต่นอกจากปลาเสือตอนำเข้าแล้ว ปลาเสือตอที่เห็นในตลาดปลาสวยงามในปัจจุบันก็ยังมาจากการเพาะเลี้ยงโดยการผสมเทียมอีกด้วย ในประเทศไทยปลาเสือตอที่จับได้จะเป็นชนิดลายเล็ก ซึ่งจับได้ในแถบภาคกลางและภาคอีสาน พบมากในแม่น้ำโขง แถบจังหวัดหนองคาย นครพนม แต่ราคาถูกกว่าปลานำเข้า ซึ่งเมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมาราคาขายปลายังไม่แพง ขนาด 2 นิ้ว ตัวละประมาณ 50 บาท แต่ราคาในปัจจุบันปลาเสือตอลายเล็กถือว่ามีราคาถูกที่สุดในบรรดาปลาเสือตอทั้งหมด (ไม่รวมปลากะพงลายซึ่งมีลักษณะคล้ายปลาเสือตอ) ขนาด 1-3 นิ้วมีราคาขายกันประมาณ 250-600 บาทในบ้านเรามีผู้เพาะเลี้ยงปลาเสือตออย่างถูกต้องตามกฎหมายและประสบผลสำเร็จน้อย จึงทำให้ไทยต้องสูญเสียเงินตราให้ต่างประเทศในการนำเข้าปลาเสือตอปีละหลายล้านบาทเลยทีเดียว แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราช่วยกันพัฒนาและประสบผลสำเร็จในด้านการเพาะเลี้ยงปลาเสือตอ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการขยายพันธุ์เพื่อให้มีปริมาณเพิ่มมากขึ้น การมีจิตสำนึกในการอนุรักษ์ เมื่อนั้นนอกจากเราจะมีปลาเสือตอเลี้ยงในราคาที่ไม่แพงและสามารถนำเงินตราต่างประเทศเข้าประเทศได้มากแล้ว เราอาจจะมีปลาเสือทุกชนิดกลับมาแหวกว่ายอยู่ในน่านน้ำไทยได้เหมือนในอดีตก็เป็นได้ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 โดยบัญญัติไว้นกฎกระทรวงฉบับที่ 10 ลงวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ.2540 ผู้ที่ต้องการมีปลาเสือตอไว้ในครอบครองจะต้องขออนุญาติเป็นหนังสือจากอธิบดีกรมประมง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 และจะต้องปฎิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในใบอนุญาติ ผู้ใดมีปลาเสือตอไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาติจะมีความผิดโทษปรับไม่เกิน 40,000 บาทและจำคุกไม่เกิน 4 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
เอกสารอ้างอิง
1. กฤษณา แก้วชะอุ่ม และภีระ ไกรแสงศรี 2548 ปลาอะโรวาน่า ปลาเสือตอ สำนักพิมพ์ วีทีเอส บุ๊คเซ็นเตอร์ นนทบุรี
2. จี้เส็ง แซ่จิว 2541 ปลาเสือตอ ปลาที่ตลาดต้องการ วารสารมติชนเทคโนโลยีชาวบ้าน สำนักพิมพ์ พิฆเนศ กรุงเทพฯ ปีที่ 10 ฉบับที่ 190 หน้า 82-83
3. นิด ชากังราว 2541 บึงบอระเพ็ดวันนี้รอการกลับมาของปลาเสือตอ ปลาน้ำจืดที่หายสาบสูญ วารสารมติชนเทคโนโลยีชาวบ้าน สำนักพิมพ์ พิฆเนศ กรุงเทพฯ ปีที่ 10 ฉบับที่ 187 หน้า 80-80
4. ปรีชา ลิ่มไชยฤกธ์ 2541 แวะดูงานเลี้ยงปลาเสือตอ วารสารมติชนเทคโนโลยีชาวบ้าน สำนักพิมพ์ พิฆเนศ กรุงเทพฯ ปีที่ 11 ฉบับที่ 200 หน้า 73-74
5. นิด ชากังราว 2541 บึงบอระเพ็ดวันนี้รอการกลับมาของปลาเสือตอ ปลาน้ำจืดที่หายสาบสูญ วารสารมติชนเทคโนโลยีชาวบ้าน สำนักพิมพ์ พิฆเนศ กรุงเทพฯ ปีที่ 10 ฉบับที่ 187 หน้า 80-80
6. สุอินทร์ ฤทธิ์จรุง และนาวิน มหาวงศ์ 2536 การเพาะพันธุ์ปลาเสือตอแบบธรรมชาติ วารสารการประมง สำนักพิมพ์กรมประมง กรุงเทพฯ ปีที่ 46 ฉบับที่ 6หน้า 495-501
7.http://www.thaipost.net/index.aspMbk=xcite&post_date=8/Mar/2545&news_id=49862&cat_id=2007008. 8.http://2snake2fish.com/fish/miscellaneous/siam-tiger.html
10.http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/4-5/no20/aboutleangpla.html
11.http://www.fisheries.go.th/if-nakhonsawan/papermicrochip_complete.htm
13.http://nicaonline.com/new-44.htm14. http://wwwninekaow.com/fishes/view.php?id=00179